ในสมัยก่อน ผู้คนจะตัดฟืนเพื่อก่อไฟ และใช้ไม้หรือไม้ไผ่ในการสร้างบ้านหรือทำเฟอร์นิเจอร์ แต่ในปัจจุบัน ฟืนแบบดั้งเดิมได้ถูกเผาจนพลิกโฉมใหม่ไปแล้ว มนุษย์เรานำเอาไม้ฟืนหรือไม้ไผ่ใส่เข้าในเตาเผา ก่อนจะร่ายมนต์จนทำให้มันกลายเป็นถ่าน ถ่านไม้สีดำๆ เดิมทีถูกใช้เพียงเพื่อให้เกิดความอบอุ่นหรือใช้ในการหุงหาอาหารเท่านั้น หากแต่ในทุกวันนี้ มีคนพบเห็นคุณค่าของมันในด้านอื่นที่แตกต่างออกไป และด้วยเทคโนโลยีที่รุดหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ถ่านเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราในรูปแบบใหม่ที่หลากหลาย ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับถ่านไม้ที่เราเคยเห็นเป็นเพียงของธรรมดาประจำบ้านเท่านั้น
กลิ่นควันไฟขมุกขมัวจากไม้ที่ถูกเผาซึ่งตลบอบอวลไปทั่ว กับเสื้อผ้าของคุณพ่อคุณแม่ที่เปื้อนขี้เถ้าและซักยังไงก็ไม่มีวันสะอาด คือภาพแห่งความทรงจำของคุณเฉินเหว่ยเฉิง (陳偉誠) กูรูคนดังผู้เชี่ยวชาญการผลิตน้ำส้มจากไม้ คุณเฉินเหว่ยเฉิงซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ในตำบลหูโข่ว เมืองซินจู๋ (新竹湖口鄉) เป็นเถ้าแก่รุ่นที่ 2 ของโรงงานผลิตถ่าน ได้เห็นภาพของคุณพ่อคุณแม่ที่อาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อเผาถ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต ฟืนที่วางกองอยู่ในโรงงานคือของเล่นตอนเด็กๆ ของคุณเฉิน และโรงงานเผาถ่านที่มีแต่ไอร้อนอันระอุก็คือสนามเด็กเล่นของเขา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้คุณเฉินเหว่ยเฉิงมีความรู้สึกที่ผูกพันกับไม้อย่างบอกไม่ถูก
หลังจากที่ผู้คนหันมาใช้แก๊สกันมากขึ้น กิจการของโรงงานก็ค่อยๆ ซบเซาลง ทำให้คุณพ่อของคุณเฉินต้องตัดสินใจหาช่องทางใหม่เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ และในปีค.ศ.2003 สถาบันวิจัยเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรม (Industrial Technology Research Institute, ITRI) ของไต้หวัน ได้ประกาศถ่ายทอดเทคโนโลยีในการสกัดน้ำส้มจากไม้ให้แก่ภาคเอกชน คุณพ่อจึงได้ร่วมกับเพื่อนในการลงทุนนับสิบล้านเพื่อสั่งซื้อเครื่องจักร และหลังผ่านการทดลองมากมายหลายครั้ง ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จสามารถสกัดน้ำส้มออกมาจากไม้ได้ จากนั้นก็ได้ขอให้โรงงาน OEM ช่วยนำไปพัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์ 2 ชนิดคือ ครีมอาบน้ำและแชมพูสระผม อย่างไรก็ตาม แม้สินค้าจะมีจุดเด่นที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ แต่กลิ่นของน้ำส้มจากไม้ที่มีความฉุนไม่น้อย ส่งผลให้สินค้าที่ผลิตออกมาไม่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคจนแทบไม่มีคนสนใจสั่งซื้อ ทำให้การลงทุนของคุณพ่อในครั้งนี้ดูเหมือนกับว่าจะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ของขวัญล้ำค่าจากธรรมชาติ
ขณะที่คุณเฉินเหว่ยเฉิงกำลังศึกษาชั้นปีที่ 3 ในมหาวิทยาลัยอยู่นั้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเขาจึงได้ขออาศัยอยู่ในโรงงานของหุ้นส่วนของคุณพ่อ อากาศในโรงงานที่ทั้งร้อนอบอ้าวและมีความชื้นสูง ทำให้อาการของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังของคุณเฉินกำเริบหนักจนรู้สึกทั้งคันทั้งบวมไปทั้งตัว คุณเฉินย้อนรำลึกถึงความหลังก่อนจะบอกกับเราว่า ในตอนนั้นได้ลองทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็ไม่ดีขึ้น ไม่นึกเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้ว จะเป็นน้ำส้มจากไม้ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ จากที่เคยได้ยินคุณพ่อบอกไว้ว่า น้ำส้มจากไม้มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรคและต้านฤทธิ์ของแบคทีเรีย จึงตัดสินใจทดลองใช้ดู ด้วยการนำเอาน้ำส้มจากไม้ที่ได้จากกระบวนการสกัดในโรงงานมาพ่นที่แขนของตัวเอง จากนั้นก็ไม่รู้สึกคันอีกเลย ผมเคยลองเอาน้ำส้มจากไม้มาลองทาหน้าครึ่งซีกดู ผลปรากฏว่า ใบหน้าครึ่งหนึ่งหายบวม แต่อีกครึ่งหนึ่งยังคงบวมซะอย่างกับหัวหมูเลย คุณเฉินเล่าไปหัวเราะไป
หลังจากที่ได้ทดลองใช้กับตัวเองจนเห็นผล คุณเฉินเหว่ยเฉิงจึงได้เริ่มศึกษารายงานการวิจัยเรื่องน้ำส้มจากไม้ของญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ก่อนจะพบว่าน้ำส้มจากไม้มีสรรพคุณในการทำความสะอาด ฆ่าแบคทีเรียและเชื้อโรค รวมถึงยังขจัดกลิ่นได้ด้วย คุณเฉินเห็นว่า น้ำส้มจากไม้ถูกสกัดออกมาจากควันที่เกิดขึ้นจากการเผาถ่าน ส่วนผสมทั้งหมดมาจากธรรมชาติ เป็นน้ำยาทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม นี่คือของขวัญล้ำค่าที่ธรรมชาติมอบให้กับพวกเรา จึงควรที่จะเรียนรู้เพื่อใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น คุณเฉินเหว่ยเฉิงและทีมงานจึงได้ทำการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน โดยใช้น้ำส้มจากไม้เป็นองค์ประกอบหลัก และผสมกับส่วนผสมอื่นในสัดส่วนต่างๆ ตามแต่วัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้งาน จนได้เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ทั้งครีมอาบน้ำ ครีมบำรุงผิว น้ำยาทำความสะอาด น้ำยากันยุง และน้ำยาทำความสะอาดสัตว์เลี้ยง เป็นต้น รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับทารกด้วย ส่วนผสมต่างๆ ในผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นสารทำฟอง น้ำมันหอมระเหย ต่างก็ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมใดๆ ที่เป็นสารเคมีเลย ทำให้น้ำส้มจากไม้สามารถแสดงสรรพคุณในการฆ่าเชื้อและต้านฤทธิ์ของแบคทีเรียได้อย่างเต็มที่
ที่ผ่านมา ควันที่เกิดจากการเผาถ่านเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกิดมลพิษในอากาศ แต่จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์กลับพบว่า แท้ที่จริงแล้วภายในไม้มีส่วนผสมที่ล้ำค่าเป็นอย่างมากอยู่ ซึ่งคุณเฉินเห็นว่า การที่ต้นไม้สามารถคงอยู่บนโลกนี้ได้นานนับล้านปี เพราะมีลิกนินเป็นเสมือนเกราะกำบังตามธรรมชาติ ปัจจุบันธุรกิจเกี่ยวกับน้ำส้มจากไม้ของไต้หวันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น จึงหวังว่าต่อไปจะมีผู้สนใจเข้ามาสู่ธุรกิจนี้มากขึ้น เพื่อจะได้ร่วมมือกัน ในการรักษาสภาพแวดล้อมให้คงอยู่แบบยั่งยืน
เพชรสีดำจากธรรมชาติ
ถ่านไม้ไผ่ คืออีกหนึ่งสมบัติล้ำค่าสีดำจากธรรมชาติ ไม้ไผ่ที่ผ่านการเผาที่อุณหภูมิสูงจะทำให้ความชื้นภายในระเหยออกไปจนหมด จนเหลือแต่เพียงผนังเซลล์ที่มีรูอยู่มากมาย หากมองผ่านกล้องจุลทรรศน์ก็จะมีลักษณะเหมือนกับตาข่ายแบบ 3 มิติที่มีตาถี่ๆ เรียงกันอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งคุณเฉินซีโจว (陳溪洲) นายกสมาคมพัฒนาอุตสาหกรรมวัตถุดิบธรรมชาติแห่งไต้หวัน (Eco-Carbon Development Association of Taiwan) เห็นว่า จำนวนรูในถ่านไม้ไผ่ที่มีน้ำหนัก 1 กรัม จะมีพื้นที่ผิวจำเพาะประมาณ 300 ตารางเมตร ซึ่งมีขนาดพอๆ กับสนามเทนนิสเลยทีเดียว จึงทำให้ถ่านไม้ไผ่มีคุณสมบัติเหมือนกับฟองน้ำที่มีความสามารถในการดูดซับสูงมาก
การผลิตถ่านไม้ไผ่ในไต้หวันเริ่มขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.2002 เป็นต้นมา โดยในช่วงแรก การนำถ่านไม้ไผ่มาใช้งานจะใช้แบบทั้งแผ่น โดยใช้วางไว้ในน้ำหรือในข้าวเพื่อดูดซับสิ่งสกปรก หรือทำให้น้ำใสขึ้น รวมไปถึงนำไปผลิตเป็นถุงกำจัดกลิ่น แต่หลังจากมีคนสนใจศึกษาและเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีการบดด้วยเซรามิก จนทำให้ถ่านไม้ไผ่ถูกบดจนได้เป็นเม็ดนาโน ก่อนจะนำไปปั่นเป็นเส้นด้าย ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติในการปลดปล่อยรังสีอินฟาเรดของถ่านไม้ไผ่ ด้วยการนำมาสวมใส่ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย หรือกลายมาเป็นเครื่องนอนที่ช่วยให้หลับสบาย ดังที่เห็นในบ้านพลังถ่านไม้ไผ่ที่อยู่ในสวนวัฒนธรรมไผ่เขียว (Ching Chu Bamboo Culture Park) ซึ่งมีการนำเอาถ่านไม้ไผ่ไปใช้ในการทำฟูก ผ้าห่ม และหมอน รวมทั้งยังมีการนำเอาถ่านไม้ไผ่ไปสอดไว้ในแผ่นปูพื้น โดยหวังว่าจะสามารถนำเสนอความรู้สึกแบบสบายๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังนี้ให้กับผู้มาเยือน
ถ่านไม้ไผ่นำความสะดวกสบาย มาสู่ชีวิตประจำวัน
นอกจากสิ่งที่เราใช้หรือสวมใส่แล้ว ถ่านไม้ไผ่ที่ผ่านการเผาด้วยอุณหภูมิสูงนี้ ยังสามารถนำมาใช้ผสมอาหาร เป็นสีจากธรรมชาติได้ด้วย อันเป็นแนวคิดที่เปลี่ยนโฉมความรู้สึกของผู้คนซึ่งมีต่อถ่านไม้ไผ่ไปเลย และเมื่อพูดถึงการนำถ่านไม้ไผ่มาประยุกต์ใช้ในอาหารแล้ว คุณเฉินจิ้งฟู่ (陳靖賦) ผู้จัดการสวนวัฒนธรรมไผ่เขียวบอกกับเราอย่างมั่นใจว่า ในตอนนั้นพวกเราได้ทดลองนำเอาผงจากถ่านไม้ไผ่มาทำเป็นเส้นหมี่ชาโคล โดยเส้นหมี่หรือเกี๊ยวชาโคล (竹炭水餃 จู๋ถั้นสุยเจี่ยว) ที่มีส่วนผสมของถ่านไม้ไผ่จะอมน้ำได้ดี ไม่เหนียวติดกันเมื่อเย็นตัวลง ตอนแรกที่เปิดตัวในงานแสดงสินค้าอาหารที่จัดขึ้นที่ไทเปเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้คนเป็นอย่างยิ่ง
และที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนได้เช่นกันก็คือ การได้รับสิทธิบัตรของกระดาษดูดซับจากถ่านไม้ไผ่ในปี 2015 ทั้งนี้ เพื่อหาวิธีนำถ่านไม้ไผ่มาประยุกต์ใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น โรงงานเผาถ่านไม้ไผ่อู่ซิ่ว (武岫竹炭窯 Wuxiu Bamboo Charcoal Kiln) ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผิงตงแห่งชาติ (National Pingtung University of Science and Technology) ในการค้นคว้าวิจัยเป็นเวลานานหลายปี ก่อนจะสามารถพัฒนากระดาษถ่านไม้ไผ่ที่มีประสิทธิภาพในการดูดซับและช่วยรักษาความสดได้เป็นอย่างดี ซึ่งผลการทดลองชี้ชัดว่า กระดาษถ่านไม้ไผ่สามารถดูดซับสารเคมีในอากาศได้มากถึงร้อยละ 92 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถดูดซับสารเอทิลีนที่ปลดปล่อยออกมาจากผลไม้ได้ดี ส่งผลให้ผลไม้ไม่สุกก่อนระหว่างการขนส่งจนส่งผลเสียต่อคุณภาพของผลไม้ โดยปัจจุบันนี้ กระดาษถ่านไม้ไผ่ถูกใช้เป็นวัสดุของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในการขนส่งดอกไม้สดและผลไม้สดในไต้หวัน เพื่อยืดระยะเวลาความสดและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านการส่งออก และยังถูกนำมาใช้ในการผลิตวอลล์เปเปอร์ ด้วยคุณสมบัติที่สามารถดูดซับสารที่เป็นอันตรายในสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
และจากการเผาด้วยความร้อนสูง ส่งผลให้ถ่านไม้ไผ่เป็นตัวนำไฟฟ้าได้ด้วย จึงทำให้ไต้หวันสามารถพัฒนารถพลังไฟฟ้าจากถ่านไม้ไผ่ได้ก่อนประเทศอื่น ซึ่งรถเข็นพลังไฟฟ้าโดยทั่วไปจะต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ จำนวน 2 ก้อน แต่รถพลังไฟฟ้าจากถ่านไม้ไผ่จะใช้แบตเตอรี่ธรรมดาเพียงก้อนเดียว บวกกับแบตเตอรี่ถ่านไม้ไผ่จำนวน 6 ก้อน โดยใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่น้อยกว่าถึงครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ส่งผลต่อระยะทางในการวิ่ง จึงมีโอกาสไม่น้อยที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันให้กับผู้สูงอายุทั้งหลายที่จำเป็นต้องใช้รถเข็นมาช่วยในการเดินเหินเหล่านี้
การคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เริ่มต้นจากชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย หรือการเดินทาง ต่างก็มีร่องรอยของถ่านไม้ไผ่ให้เราได้พบเห็น การค้นคว้าและประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ เราหวังว่าในอนาคตจะมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ซึ่งก่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่จะนำพาพวกเราไปสู่ชีวิตอันสมบูรณ์พูนสุขในโลกแห่งวันพรุ่งนี้ได้