เมล็ดพันธุ์คือบ่อเกิดแห่งชีวิต
เดิมที พื้นที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เมล็ดพืชที่เห็นอยู่นี้ คือสถานที่ทำงานของเหลียงคุนเจี้ยงและจ้าวอิงหลิง (趙英伶) สองสามีภรรยาซึ่งรับงานด้านการออกแบบตกแต่งสวน แต่ในช่วงหลายปีก่อน เหลียงเฉาซวิน (梁朝勛) ลูกชายคนเล็กที่ไปศึกษาต่อด้านดนตรีที่ประเทศอังกฤษได้กลับมาอยู่ที่บ้าน พร้อมทั้งกล่อมให้คุณพ่อคุณแม่ปรับเปลี่ยนสถานที่ใหม่ ให้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์เมล็ดพืช
เหลียงเฉาซวิน ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บอกกับเราว่า “ตอนแรกคิดแค่ว่ามันรู้สึกสนุกดี” ด้วยความรู้สึกที่ว่า ของสะสมที่คุณพ่อคุณแม่สะสมมาทั้งชีวิต หากไม่ได้นำออกมาให้ผู้อื่นร่วมชื่นชมไปด้วย จะเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก
ภายในพิพิธภัณฑ์มีการเก็บสะสมเมล็ดพืชต่างๆ มากกว่า 500 ชนิด ซึ่งป๋าเหลียงได้รวบรวมความรู้ที่เกี่ยวข้องจากการอ่านหนังสือ “หนังสือที่ผมมีอยู่นี้ เอาไปใส่ได้เต็มคันรถเลย เงินที่มีอยู่ก็หมดไปกับการซื้อหนังสือ ขอเพียงเป็นหนังสือเกี่ยวกับพืช ผมซื้อมาหมดทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ” ขอเพียงได้มีโอกาสพูดถึงเมล็ดพืช ดวงตาของเหลียงคุนเจี้ยงก็จะเปล่งประกายวาววับ น้ำเสียงที่พูดก็จะแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น ด้วยความอยากที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองรักมาแบ่งปันให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เมล็ดพืช
เมล็ดพืชไม่เพียงแต่จะดูสวยงาม แต่ยังแฝงไว้ด้วยความเก่งกาจ และมีภูมิปัญญาในการเอาชีวิตรอดได้เป็นอย่างดี ขงจื๊อเคยกล่าวไว้ว่า “จงทำความรู้จักกับชื่อของนก สัตว์ ต้นไม้ และพืชให้มากเข้าไว้” เช่น กล้วยพัด ถือเป็นพืชที่สามารถช่วยชีวิตคนเดินป่าซึ่งต้องทำความรู้จักเอาไว้ เพราะโคนใบของกล้วยพัดสามารถอุ้มน้ำเอาไว้ได้เป็นจำนวนมาก หากเดินอยู่ในป่าแล้วเกิดขาดแคลนน้ำ ก็สามารถตัดใบของมันออกมาเพื่อดื่มน้ำประทังชีวิตได้ ส่วนเมล็ดสีน้ำเงินของมัน เป็นสิ่งที่พบเห็นไม่บ่อยนักในธรรมชาติ ป้าเหลียงหรือคุณจ้าวอิงหลิงจึงนำมันมาใช้สร้างสรรค์งานศิลปะ
คุณเหลียงคุนเจี้ยงได้หยิบเอาเมล็ดของต้นกุหลาบไม้ที่มีลักษณะเหมือนดอกไม้แห้งออกมา โดยกุหลาบไม้เป็นต้นไม้ที่อยู่ในวงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae) เช่นเดียวกับว่านผักบุ้ง ซึ่งหลังจากออกดอกแล้ว กลีบเลี้ยงของมันจะแข็งจนเหมือนไม้ และจะห่อหุ้มเมล็ดเอาไว้ภายใน ดอกไม้ทรงรูปกรวยที่บานเชิดหน้าสู้ฟ้า เมื่อมีฝนตก น้ำฝนก็จะไหลเข้าสะสมอยู่ภายในดอก เปลือกของเมล็ดข้างในก็จะอ่อนตัวจนแตกออก ทำให้เมล็ดของมันไหลออกจากต้นไปตามน้ำ ถือเป็นการเริ่มต้นการเดินทางเพื่อแสวงหาผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์สำหรับลงหลักปักฐานต่อไป
มะกล่ำตาหนู คือต้นไม้อีกชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในแถบภาคใต้ของไต้หวัน เมล็ดของมันมีสีแดงสดและมีจุดดำอยู่บริเวณขั้วดูแล้วงดงามเป็นยิ่งนัก หากแต่กลับแฝงไปด้วยพิษร้ายที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ซึ่งดร.ต่งต้าเฉิง (董大成) นักวิจัยด้านมะเร็งที่มีชื่อเสียงของไต้หวัน ได้สกัดเอาโปรตีนจากสารพิษของมันมาใช้ในการผลิตยาต่อต้านเซลล์มะเร็ง หากแต่เมื่อนกกินมันเข้าไปแล้วกลับไม่เป็นอันตราย เนื่องจากนกไม่มีฟัน แต่ใช้วิธีกลืนมันลงไปเลย และนกเป็นสัตว์ที่มีลำไส้ตรง อาหารที่กินเข้าไปเมื่อผ่านการย่อยจากภายในร่างกายแล้ว ก็จะถูกขับออกมาภายในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งที่มหัศจรรย์มากก็คือ กระบวนการนี้ทำให้เมล็ดเริ่มแตกยอด เพราะฉะนั้นหากมูลของนกมีเมล็ดอยู่ภายใน มันจะเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ได้อย่างแน่นอน คุณเหลียงคุนเจี้ยงได้อธิบายความสัมพันธ์อันสุดแสนจะมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นนี้ว่า เป็นการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกชีวิตย่อมมีทางออกในตัวของตัวเอง และเมล็ดถือเป็นบ่อเกิดแห่งชีวิต