ทุกเช้าหลังเสร็จจากงานถอนหญ้าในท้องนา คุณจงซุ่นหลง (鍾順龍) เจ้าของธุรกิจถั่วลิสงคั่วโบราณ “Goodeatss” หรือ 「美好花生」(อ่านว่า เหมยห่าวฮวาเซิง) จะเริ่มงานคั่วถั่วลิสงเป็นลำดับต่อไป จนตกบ่ายเขาจะหยิบเอา “กล้องถ่ายรูป” เครื่องมือทำมาหากินคู่ใจในอดีต ออกไปเดินหาวิวสวย ๆ ถ่ายเก็บเอาไว้
คุณเฉินเกิ่งเยี่ยน (陳耿彥) เจ้าของ “เยี่ยนโถวเอ ออร์แกนิกฟาร์ม”
(彥頭ㄟ有機農場) มักจะตื่นตอนตีห้ากว่าๆ และเริ่มทำงานในสวนทันทีจนถึงเก้าโมงเช้า จากนั้นจึงจะอาบน้ำ นอนพักสักงีบ ก่อนจะตื่นขึ้นมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ทางอินเตอร์เน็ต และจะเข้าสวนอีกครั้งช่วงบ่ายสองโมงบ่ายสามโมง หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาของการสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยแล้ว คุณเฉินบอกว่า “ผมชอบวิถีชีวิตแบบนี้มากกว่า”
บนถนนกวงฟู่ช่วงเวลาหกโมงเช้ากว่าๆจะมีอาแปะอาม่านั่งเรียงกันเป็นแถวยาวที่ด้านหน้าของแต่ละคนมีผักสดมัดเป็นกำๆวางอยู่ผักพวกนี้เป็นผักปลอดภัยนานาชนิดที่ปลูกกันเองและนำออกมาแบ่งปันให้กับทุกๆคนบรรดาอาแปะอาม่านั่งขายของไปคุยกับคนข้างๆไปบางครั้งก็เอาของที่ขายมาแลกเปลี่ยนกันเอาผักฮ่องเต้ของตัวเองแลกกับผักคะน้าของคนข้างๆสักกำสองกำขายผักหมดราวแปดโมงครึ่งก็เก็บของทำความสะอาดบริเวณรอบๆก่อนจะแวะซื้อเนื้อหมูสักชิ้นจากแผงใกล้ๆกลับบ้านเพื่อไปทำเป็นกับข้าว
และนี่ก็คือรูปแบบการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของคนฟ่งหลิน ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมือนกัน การทำงานที่แตกต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คืออิสระทางใจ
สิ่งที่ “เมืองเนิบช้า” (Slow City) เน้นย้ำคือ เรื่องของทัศนคติในการใช้ชีวิตที่ปฏิเสธการวิ่งตามกระแสโลกาภิวัตน์ และไม่ได้บ่งบอกถึงความ “ช้า” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หนึ่งในบทบัญญัติและดัชนีวัดการใช้ชีวิตแบบแช่มช้าของสโลว์ซิตี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ พร้อมๆ ไปกับการสร้างจิตสำนึกของการใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ ถือเป็นสาระสำคัญของการเคลื่อนไหวเพื่อเมืองที่เนิบช้าทั้งสิ้น
เดือนเมษายน พ.ศ.2557 อำเภอฟ่งหลิน เมืองฮัวเหลียน ได้ยื่นขอเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิก
สโลว์ซิตี้ ต่อสำนักงานใหญ่ขององค์กร Cittaslow International ซึ่งอยู่ที่เมืองออร์วิเอโต (Orvieto) ของประเทศอิตาลี และเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนแนวหุบเขาฮัวเหลียน-ไถตงทางชายฝั่งตะวันออกของไต้หวันแห่งนี้ ก็ได้รับการรับรองให้เป็นสโลว์ซิตี้แห่งแรกของไต้หวันจาก Cittaslow International ในเดือนพฤษภาคมของปีเดียวกัน ความภาคภูมิใจที่ได้รับในครั้งนี้ ไม่ต้องผ่านการเสกสรรปั้นแต่งใดๆ มีเพียงแค่การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ควบคู่ไปกับการนำเสนอให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ซึ่งก็คือความเพียบพร้อมในทุกๆ ด้านที่คุณหลิวชิงซง (劉青松) นายกสมาคมประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ตำบลฟ่งหลิน ได้ให้นิยามไว้
พัฒนาสวนกระแส สไตล์แช่มช้า
คุณหลีเหม่ยหลิง (李美玲) เลขาธิการสมาคมพัฒนาชุมชนบ้านเป่ยหลินซานชุน กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในฟ่งหลินก็คือ ความไม่ทันต่อยุคสมัย เนื่องจากก้าวไม่ทันต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไต้หวันในยุค 1960-1970 ทำให้ฟ่งหลินได้รับโอกาสในการเดินบนเส้นทางที่แตกต่างออกไป ไม่เกิดความต้องการหรืออยากได้วัตถุใดๆ เช่น การสร้างโรงงาน การขยายถนน เป็นต้น แต่ต้องการรักษาคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตที่ดีของเมืองนี้ไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับเรา
แม้จะผ่านไปกว่าสามสี่สิบปีแล้วก็ตาม สถานที่แห่งนี้ยังคงมีวิถีชีวิตเช่นที่เคยเป็นอยู่แบบเดิมๆ บ้านพักอาศัยอาจจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นบ้านคอนกรีต แต่บรรดาคุณแม่บ้านทั้งหลายยังคงเคยชินกับการทำกิจกรรมต่างๆ ที่หน้าบ้านของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการซักผ้า ผ่าฟืน ก่อไฟ และต้มน้ำ ครัวเรือนในชุมชนราว 2 ใน 3 ยังคงมีเตาถ่านขนาดใหญ่สำหรับทำกับข้าวอยู่ในบ้าน แม้จะไม่ได้ใช้ประกอบอาหารทุกวัน แต่เมื่อใดที่ถึงช่วงเทศกาลต่างๆ รวมถึงตรุษจีน จะมีการใช้เตาที่ว่าเพื่อทำขนมผักกาด หรือขนมก้วยอย่างแน่นอน แต่ละครอบครัวจะมีการนำพืชผักต่างๆ ตามแต่ละฤดูกาลมาตากไว้ที่หน้าบ้าน อาทิ หัวไชเท้า แตงกวา ถั่วลิสง ถั่วเหลือง และถั่วฝักยาว เป็นต้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นจีนฮากกา
ประชากรในฟ่งหลินราวร้อยละ 60 เป็นชาวจีนฮากกา
อัตลักษณ์ของความเป็นฮากกา ทั้งวิถีชีวิตที่เรียบง่าย วิธีถนอมอาหารแบบต่าง ๆ ตลอดจนนิสัยที่ตระหนี่ สอดรับกับแนวคิดของความเป็นเมืองเนิบช้าอย่างกลมกลืน คุณหลิวชิงซงยกตัวอย่างว่า ถ้าคุณมาที่ฟ่งหลินและเห็นว่าชาวบ้านเอาถั่วลิสงมาตากไว้ที่หน้าบ้านแต่ไม่เยอะนัก ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ปลูกเอง แต่เป็นถั่วที่เก็บได้จากท้องนาหลังจากที่ใช้เครื่องเก็บเกี่ยวถั่วแล้ว การแบ่งปันด้วยความยินดีจากเจ้าของบ้าน ขณะที่ชาวบ้านเองก็ไม่ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย แสดงให้เห็นถึงนิสัยประหยัดมัธยัสถ์และขยันขันแข็งที่มีมาแต่ดั้งเดิมของชาวฮากกาได้เป็นอย่างดี
พลังการมีส่วนร่วมจากชุมชน
ฟ่งหลิน ได้รับการยกย่องว่าเป็นบ้านเกิดของครูใหญ่ และที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมที่ดีที่สุดทางชายฝั่งตะวันออกของไต้หวัน หลายปีที่ผ่านมา ด้วยความพยายามของชุมชนท้องถิ่นและสมาคมต่างๆ ได้ร่วมกันบ่มเพาะสภาพแวดล้อมของเมืองให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตแบบเนิบช้าขึ้นมา กลุ่มคนเหล่านี้ยึดถือสุภาษิตของชาวฮากกาที่ว่า ทำไปเถอะ ขอแค่ให้ลงมือทำ ในการทำงาน และพวกเขาต่างก็ทุ่มเทให้กับงานอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ควบคู่กับการพัฒนา
ชุมชนในฟ่งหลินอย่างเต็มที่
หลังเกษียณอายุราชการ คุณหลิวชิงซงได้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครให้กับสมาคมประวัติศาสตร์ท้องถิ่นฟ่งหลิน และบ้านผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ เขายื่นเรื่องขอการสนับสนุนในโครงการพัฒนาแรงงานจากกระทรวงแรงงาน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นและยังวางแผนที่จะขยายไปสู่ธุรกิจเอสเอ็มอีในอนาคต
เขายังเปิดแฟนเพจ ประวัติศาสตร์ฟ่งหลิน ในเฟซบุ๊กอีกด้วย และเขียนแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ของฟ่งหลินอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด และจนถึงขณะนี้เขาได้เขียนบทความไปแล้วราวห้าหมื่นกว่าตัวอักษร หากได้อ่านงานเขียนของเขาก็จะสัมผัสได้ถึงอารมณ์เร่าร้อนที่มีต่อฟ่งหลินของคุณลุงที่ชอบสวมหมวกลิ้นเป็ดและไว้เคราแพะท่านนี้
คุณหลีเหม่ยหลิงเดินทางมาเรียนหนังสือที่ฮัวเหลียน ก่อนจะแต่งงานและลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ในฐานะสะใภ้ของฟ่งหลิน เธอเป็นคนที่รักการทำงานด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะงานด้านอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม การดูแลผู้สูงอายุ ตลอดจนการรับอาสาอยู่เป็นเพื่อนวัยรุ่น เธอไม่เคยพลาดที่จะเข้าร่วมสักครั้ง เธอทุ่มเทให้กับสถานที่แห่งนี้ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา จนได้รับความไว้วางใจจากชุมชนเป็นอย่างดี เพราะแม้แต่กิจกรรมขบวนแห่ผีซึ่งจัดขึ้นในเดือนเจ็ด (เดือนเปิดประตูผี) ตามปฏิทินจีนที่เธอจัดขึ้น ก็ไม่มีเสียงคัดค้านจากคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนแม้แต่นิดเดียว
คนในชุมชนท้องถิ่นฟ่งหลินที่มาทำงานร่วมกันมักจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่เสมอ สถานที่น่าสนใจหลายๆ แห่งที่ต้องไปเยี่ยมชมหากได้มาเยือนที่ฟ่งหลิน อาทิ พิพิธภัณฑ์จีนฮากกา หรือโรงงานสานฝันครูใหญ่ จะมีอาสาสมัครช่วยงานกว่าหนึ่งร้อยคน และในจำนวนนี้มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นครูใหญ่ที่เกษียณอายุแล้ว และคุณเฉินเวยเฉิง (陳威誠) นายกสมาคมพัฒนาการท่องเที่ยวฟ่งหลินก็เป็นอาสาสมัครคนหนึ่งเช่นกัน
จางอวี้เพ่ย (張郁珮) สาวฟ่งหลิน ซึ่งเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมประจำปีของ Cittaslow International ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะตัวแทนของฟ่งหลินเพื่อรับใบรับรอง
สโลว์ซิตี้ กล่าวว่า “จุดที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุด หลังจากที่ฟ่งหลินกลายเป็นเมืองเนิบช้า คือชาวบ้านมีจิตสำนึกมากขึ้น”
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้การทำงานเพื่อส่งเสริมและผลักดันการบริหารจัดการท้องถิ่นอย่างยั่งยืนของคุณหลิวชิวซงและคุณหลีเหม่ยหลิงเป็นไปอย่างสะดวกและง่ายดายมากขึ้น ทุกคนเริ่มที่จะยอมรับรูปแบบของเศรษฐกิจที่ช้าลง ได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อแต่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้ชุมชนเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นท้องถิ่น ลูกหลานที่ออกจากบ้านไปเมื่อกลับมายังบ้านเกิดก็มีที่สำหรับให้พักพิง คุณหลีเหม่ย
หลิงกล่าวทิ้งท้ายว่า “การเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อเรื่องต่างๆ นับเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ภายหลังจากสถานที่แห่งนี้ได้รับการรับรองให้เป็นสโลว์ซิตี้”
ความสวยงามและความโศกเศร้าของฟ่งหลิน
คุณสวีหมิงถัง (徐明堂) เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อมาดูแลพ่อแม่ และก่อตั้งฟาร์มเกษตรเหนี่ยวจวี (鳥居農場) ขึ้นที่ฟ่งหลิน เขาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหุบเขาดอกไม้ ที่เปรียบเปรยการฟื้นฟูผืนดินเข้ากับเหตุการณ์การปฏิวัติดอกมะลิ โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน โดยครัวเรือนกว่า 100 ครัวเรือนจะช่วยกันสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกร 1 คน ด้วยการทำเกษตรวิถีธรรมชาติและเป็นมิตรกับผืนดิน โดยทุกคนพร้อมใจที่จะแบกรับความเสี่ยงและแบ่งปันผลผลิตร่วมกัน
คุณสวีหมิงถังยังทุ่มเทให้กับการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรที่เป็นมิตรอีกด้วย เขาใช้วิธีทางนิเวศวิศวกรรมในการปลูกทานตะวันเพื่อปรับปรุงดิน โดยหลังจากปล่อยให้ต้นทานตะวันดูดซับโลหะหนักที่ตกค้างอยู่ในดินแล้ว เขาจะจัดกิจกรรมเชิญชวนให้ทุกคนมาช่วยกันเก็บและถอนดอกไม้ในแปลง และอาศัยโอกาสนี้ในการบอกเล่าแนะนำถึงแนวคิดของการทำเกษตรที่เป็นมิตรให้กับทุกคน เมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าวจะมีการจัดกิจกรรมชวนน้องเกี่ยวข้าวเป็นประจำ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กในเมืองได้สัมผัสถึงความเหน็ดเหนื่อยและยากลำบากของชีวิตชาวนา
คุณเซี่ยอี (謝壹) เกิดเมื่อพ.ศ.2525 อดีตเคยทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในพื้นที่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะไต้หวันให้กับบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลกสัญชาติไต้หวัน ด้วยพื้นฐานครอบครัวที่มีพ่อเป็นคนสู้งานหนัก ประกอบกับความไม่พอใจที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง เขาจึงตัดสินใจกลับมาทำเกษตรที่บ้านเกิด เขาเปิดแฟนเพจชื่อว่า 「謝小小農」 (อ่านว่า เซี่ยเสียวเสี่ยวหนง) และเปิดให้บริการส่งสินค้าเกษตรจากฟาร์มตนเองโดยตรง พร้อมทั้งชักชวนเกษตรกรรายย่อยในละแวกใกล้เคียงให้มารวมตัวกันเพื่อให้มีชนิดสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น บนแนวคิดที่อยากจะเผยแพร่และแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับทุกๆ คน
คุณพันจื้อหมิง (潘志明) ข้าราชการทหารเกษียณ เห็นว่าฟ่งหลินเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก เขาและคุณสวี๋หย่าเซียง (徐雅香) ผู้เป็นภรรยาจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ฮัวเหลียนพร้อมกับเปิดกิจการโฮมสเตย์ คุณสวีหย่าเซียงเป็นคนฮากกา ชอบเก็บพืชผักสวนครัวที่ปลูกเองมาเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารและทำเครื่องดื่ม เช่น น้ำกระเจี๊ยบโซดา หรือเต้าหู้ยี้ ซึ่งบางครั้งเธอจะใส่ใบสะระแหน่ ใบเลมอน เวอร์บีนา (Lemon Verbena) หรือใบหญ้าหวาน (Stevia) ที่เด็ดมาลงในเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติด้วย แท้ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะสโลว์ฟู้ดหรือสโลว์ไลฟ์ ก็สื่อถึงชีวิตที่ได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำนั่นเอง
คุณจงซุ่นหลง (鍾順龍) และคุณเหลียงอวี้หลุน (梁郁倫) สองสามีภรรยาเกิดความคิดที่อยากจะสืบทอดสูตรอาหารประจำตระกูล จึงเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเรียนรู้การทำถั่วลิสงคั่ว และก่อตั้งแบรนด์ “Goodeatss” หรือ 「美好花生」(อ่านว่า เหมยห่าวฮวาเซิง) ขึ้น
ในปีแรกที่ไต้หวันเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) รัฐบาลรณรงค์ให้เกษตรกรงดการเพาะปลูก ครอบครัวตระกูลจงซึ่งตกอยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรกๆ จึงทำได้แค่เพียงใช้ช่วงเวลานั้นในการซ่อมอุปกรณ์เครื่องมือทางการเกษตร แม้ปัจจุบันพวกเขาได้ปรับเปลี่ยนบ้านพักอาศัยและเปิดเป็นร้านค้าในบริเวณเดียวกัน แต่ภาพของอุปกรณ์และเครื่องจักรกลทางการเกษตรที่ยังวางกองตั้งอยู่ที่หน้าประตู ทำให้ดูราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ถูกหยุดเวลาเอาไว้
เมื่อก้าวเดินเข้าไปในร้าน “Goodeatss” เจ้าของร้านจะออกมาต้อนรับและเชื้อเชิญให้คุณร่วมนั่งล้อมเป็นวงรอบๆ โต๊ะไม้ที่ตั้งอยู่ในร้าน พร้อมกับเสิร์ฟน้ำเต้าหู้ที่ทำขึ้นเอง เจ้าของร้านบริการอย่างไม่รีบร้อนและไม่เอาแต่จะขายสินค้า อีกทั้งยังชักชวนลูกค้าพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
ดร.เฉินเกิ่งเยี่ยน (陳耿彥) อาจารย์ทางคณิตศาสตร์ เกิดปีค.ศ.1987 ภายหลังจากที่แม่ของเขาป่วยและเสียชีวิตลง เขาจึงลาออกจากการสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย และซื้อที่ดินที่ฟ่งหลินในเมืองฮัวเหลียนไว้ผืนหนึ่งเพื่อจะปลูกพืชผักเพื่อสุขภาพ เขาได้ยื่นขอรับรองเกษตรอินทรีย์เพื่อทำการเกษตรแบบอินทรีย์ด้วย ระหว่างการปรับพื้นที่เขาต้องเสียเวลานานกับการเก็บก้อนหิน จึงถูกคนที่เดินผ่านไปมาล้อเลียนว่าเป็น คนซื่อนั่งเก็บหิน 「阿呆,厭頭ㄟ」 (ภาษาไต้หวันอ่านว่า อาไต เยียนเถ่าเอ) ดังนั้น ชื่อฟาร์มของเขาจึงถูกตั้งขึ้นโดยใช้คำพ้องเสียงกับคำดังกล่าว และใช้ชื่อว่า เยี่ยนโถวเอ ออร์แก-
นิกฟาร์ม
คุณหวังอี้หมิง (王義明) และคุณโหยวซิ่วฉี (游秀琪) สองสามีภรรยาเจ้าของร้านอาหารซื่อไต้อู้หนง (四代務農) เบื่อหน่ายกับการขึ้นราคาค่าเช่าร้านในภาคเหนือของไต้หวันที่ไม่มีการควบคุม จึงพาครอบครัวย้ายกลับมาพักอาศัยในบ้านโบราณแบบซานเหอย่วนยังบ้านเกิดแห่งนี้ พวกเขาคิดค้นปรุงแต่งอาหารไร้เมนูขึ้น โดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นผนวกเข้ากับฝีมือการทำอาหารที่พิถีพิถัน ข้าวคลุกน้ำมันหมูและไข่เจียวฟูสามสี จึงเป็นอาหารที่สะท้อนความเรียบง่ายของท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
ร้านไอศกรีมซานลี่ (三立冰淇淋) เปิดขายมานานไม่ต่ำกว่า 25 ปี เริ่มต้นจากแม่ของคุณพันเจินฟาง (潘珍芳) ที่มาเปิดร้านน้ำแข็งไสในฟ่งหลินเพราะเห็นว่าที่นี่มีน้ำคุณภาพดี ตัวคุณพันเจินฟางมีความคิดที่อยากจะให้ลูกได้ใช้ชีวิตและเติบโตในชนบทจึงย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดและสืบทอดกิจการของครอบครัว ส่วนคุณหลินกงหง (林功浤) สามีของเธอได้ย้ายกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่ฟ่งหลินได้ปีกว่าๆ แล้ว ภายหลังจากที่เขาเกษียณอายุงานจากบริษัททางการเงินแห่งหนึ่ง จากมุมมองของคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่อย่างเขา เขามองว่าคนฟ่งหลินหลั่งไหลออกนอกพื้นที่จำนวนมาก เกิดการขาดแคลนแรงงานและประสบปัญหาขาดแคลนทรัพยากร จึงหวั่นเกรงว่าเมืองที่สวยงามแห่งนี้จะตกอยู่ในสภาพซบเซาเสื่อมโทรม
สร้างสรรค์ความทรงจำบนผืนดินด้วยธรรมชาติ
ยังจดจำความสนุกสนานและรสชาติของการเล่นดินเหนียวหรือแต่งตัวเป็นผีได้ไหม ด้วยความตั้งใจที่อยากเห็นคนฟ่งหลินที่หลั่งไหลออกไปทำงานนอกพื้นที่กลับคืนถิ่น คณะทำงานของชาวบ้านในท้องถิ่นจึงคิดที่จะปลูกจิตสำนึกรักบ้านเกิดให้กับเยาวชน
กิจกรรมการแข่งกีฬาที่ใช้ชื่อว่า “ค้นพบเสน่ห์แห่งผืนนา” เปิดฉากขึ้นในช่วงต้นฤดูร้อน เกษตรกรท้องถิ่นให้ยืมนาข้าวที่มีน้ำขังอยู่ผืนหนึ่งเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงาน มีการเอาแตงโมซึ่งเป็นผลผลิตของท้องถิ่นมาใช้แทนลูกรักบี้ในการแข่งขัน ลูกทีมของแต่ละฝ่ายยืนกองรวมกันเป็นกำแพงมนุษย์อยู่กลางท้องนา ขณะที่ลูกแตงโมสีเขียวถูกโยนส่งต่อไปเรื่อยๆ เมื่อรับลูกได้ลูกทีมก็จะทะยานพุ่งไปข้างหน้า แต่การวิ่งในนาข้าวไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ทันไรก็ทิ้งตัวลงไปนอนคว่ำ เปรอะเปื้อนโคลนไปทั้งตัว ส่วนการแข่งขันชักเย่อก็สนุกสนานไม่แพ้กัน ทั้งสองทีมจะต้องยืนอยู่ในโคลนเละๆ พร้อมกับออกแรงดึงเชือกสุดกำลังจนกว่าเสียงเป่านกหวีดจะดังขึ้น
การแข่งกีฬา “ค้นพบเสน่ห์แห่งผืนนา” จัดขึ้นเป็นครั้งที่สามแล้ว กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่จัดกันขึ้นเอง ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบการจัดงาน และไม่เคยขอรับงบประมาณสนับสนุนการจัดงานจากภาครัฐ ไม่มีการโฆษณา มีเพียงการประชาสัมพันธ์การจัดงานผ่านทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ซึ่งในปีนี้มีคนมาเข้าร่วมมากถึงหนึ่งพันคน
คุณหลีเหม่ยหลิงได้รับแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรมดังกล่าว จากคำพูดสั้นๆ ประโยคหนึ่งของคุณแม่ในชุมชนที่ว่า เด็กที่ได้อยู่กับดินและโคลนจะมีความผูกพันกับผืนดิน และเขาจะกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดในอนาคต การเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงไปเล่นกับดินโคลน กลิ้งไปมาในนาข้าว แม้หน้าตาจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนก็ไม่เป็นไร เพราะหลังผ่านงานกีฬาครั้งนี้ไปแล้ว พวกเขาจะจดจำถึงความอบอุ่นของผืนดินแห่งนี้ไว้ และจะนึกถึงความทรงจำที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าได้ พวกเขาจะเติบโตเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีสำนึกรักบ้านเกิดในภายภาคหน้าต่อไป
อีกหนึ่งกิจกรรมที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ ขบวนแห่ผีร้อยตน หลงทางในบ้านผีสิง ที่มีการจัดเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนเจ็ด (เดือนเปิดประตูผี) ตามปฏิทินจีน โดยหลังจากที่ได้มีการนำภาพของผู้ช่วยคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวเป็นซาดาโกะ ผีผมยาวของญี่ปุ่น โผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำโพสลงในเฟซบุ๊กแล้ว ได้รับเสียงตอบรับมากมาย ทำให้คุณหลีเหม่ยหลิงเกิดความคิดขึ้นว่า น่าจะใช้ประเด็นดังกล่าวในการดึงดูดความสนใจจากกลุ่มวัยรุ่น เธอจึงเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนแต่งตัวเป็นผีแบบต่างๆ และร่วมเดินขบวนแห่ผีไปตามท้องถนนของหมู่บ้านเป่ยหลินซานชุนด้วยกัน เธอได้แปลงโฉมอาคารของหอยาสูบให้เป็นบ้านผีสิงด้วย หลังการเปิดตัวกิจกรรมดังกล่าวได้สร้างความฮือฮาและเกิดเป็นกระแสขึ้น เมืองเล็กๆ อย่างฟ่งหลินสามารถดึงดูดให้คนแต่งตัวเป็นผีมาเข้าร่วมงานในค่ำคืนของสุดสัปดาห์แรกหลังเปิดประตูผีนับพันคน ขณะที่บ้านผีสิงถึงกับต้องเปิดให้บริการข้ามคืนกันเลยทีเดียว
การจัดกิจกรรมใดๆ ในช่วงเทศกาลเดือนผี จะมีข้อห้ามบางอย่างที่ต้องปฏิบัติในช่วงเทศกาลนี้ คุณหลีเหม่ยหลิงเป็นผู้รับผิดชอบงานหลายๆ อย่าง และไม่ลืมที่จะเตือนให้คนเฒ่าคนแก่พักผ่อนแต่หัววัน หนึ่งวันก่อนการจัดงานจะมีการทำพิธีเซ่นไหว้ผีไม่มีญาติ เพื่อให้บรรดาผีที่หิวโหยได้อิ่มท้อง และยังร่วมกับวัดใกล้ๆ แจกฮู้หรือยันต์คุ้มครองด้วย
เธอหวังว่าจะสามารถดึงดูดเด็กและเยาวชนเข้ามาก่อน แล้วค่อยบอกเล่าความเป็นมาของหอยาสูบในฟ่งหลินที่มีอยู่หนาแน่นที่สุดในไต้หวัน รวมถึงประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านอพยพให้พวกเขาได้รับรู้ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและมีความทรงจำที่ดีระหว่างท้องถิ่นกับชีวิตของพวกเขา ซึ่งอาจจะทำให้พวกเขามีความคิดที่จะปกป้องอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ในภายภาคหน้า
ฟ่งหลินเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังทุกย่างก้าวอย่างช้าๆ และไม่เร่งรีบ ดังนั้น หากต้องการสัมผัสถึงรสชาติของความเนิบช้าแล้วล่ะก็ คงต้องลองมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สักระยะ รับรู้เพิ่มประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า เฉกเช่นเดียวกับคำพูดของคุณจงซุ่นหลงที่กล่าวว่า ให้ไปที่ริมแม่น้ำและลองนำก้อนหินมาเรียงซ้อนทับกันดู การเอาหินมาเรียงซ้อนกันจำเป็นต้องมีสมาธิ ต้องทำใจให้สงบแล้วพินิจพิจารณาก้อนหินแต่ละก้อนเพื่อค้นหาจุดสมดุลให้พบ เมื่อจังหวะชีวิตช้าลง ใจสงบลง ก็จะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของนิยามความเป็นเมืองเนิบช้าที่มุ่งเน้นให้ทำทุกด้านอย่างดีที่สุดได้อย่างถ่องแท ้