ในยุคแห่งโลกเสมือนดังเช่นปัจจุบัน พวกเรายังคงจำเป็นต้องมีห้องสมุดที่มีตัวตนอยู่ กระแสแห่งดิจิทัลที่โหมกระหน่ำตลอดช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่อาจลบล้างสื่อที่ใช้บันทึกความรู้ซึ่งถูกถ่ายทอดมายาวนานถึง 5,000 ปี ความทรงจำระยะสั้นของมนุษย์ที่เสื่อมลงทุกวันทำให้หลายสิ่งหลายอย่างหายไปในชั่วพริบตา แต่โชคดีที่ในชีวิตประจำวันของเรายังมีสถานที่ซึ่งใช้ในการจัดเก็บความทรงจำระยะยาวและแฝงตัวอยู่ในเมืองกรุง
มือที่ยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อถ่ายภาพนั้นยกค้างเอาไว้ ก่อนที่ในท้ายที่สุดแล้ว เราได้ตัดสินใจลดมือลงแล้วเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เพราะที่นี่ได้เก็บสะสมหนังสือที่จัดพิมพ์ภาพถ่ายสวยๆ ไว้มากถึงสองพันกว่าเล่ม แล้วเราจะไปทำให้มีภาพถ่ายเพิ่มขึ้นมาอีกสองสามภาพไปทำไม จากสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้รู้สึกว่าแม้แต่จะออกแรงกดชัตเตอร์ก็ดูจะเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น ซึ่งก็คงจะมีแต่คนที่รักการถ่ายภาพเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างสถานที่แบบนี้ขึ้นมาได้ และแม้แต่ชื่อของสถานที่ก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเลย Lightbox (ตู้ไฟ) เป็นชื่อที่ฟังดูแล้วเรียบง่ายและชัดเจนสมชื่อจริงๆ
"Lightbox" : ห้องสมุดแห่งภาพถ่าย
จริงๆ แล้วคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการถ่ายภาพมีอยู่ไม่น้อย แล้วทำไมถึงได้เลือกใช้ชื่อว่า Lightbox (ตู้ไฟ)? คำถามนี้คุณเฉาเหลียงปิน (曹良賓) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งร้านได้อธิบายให้เราฟังว่า ตู้ไฟคืออุปกรณ์ที่จะใช้ในการตรวจสอบฟิล์ม ผมหวังว่าสถานที่แห่งนี้จะทำให้ผู้ที่เข้ามาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่คงอยู่ ก็เหมือนกับตู้ที่มีแสงสว่าง และหวังว่าผู้ที่รักการถ่ายภาพจะสามารถอาศัยหนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายเหล่านี้ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจนเกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ ขึ้น มันเป็นอะไรที่เปี่ยมไปด้วยความสุขสดใสเป็นอย่างมาก และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แม้ว่าต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะเช่นเดียวกัน หากแต่ชื่อของ Lightbox กลับสามารถแยกตัวเองจาก White Box ที่สื่อถึงหอศิลป์ และ Black Box ที่สื่อถึงโรงละครออกมาได้อย่างชัดเจน
และเมื่อพูดถึงแนวความคิดในช่วงแรกที่ก่อตั้งนั้น คุณเฉาเหลียงปินบอกว่ามีความเกี่ยวพันกับประสบการณ์ในชีวิตของเขา 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือ ในช่วงปลายปี 2014 หลังจากที่คุณเฉาได้ออกหนังสือรวมภาพถ่ายเล่มแรกในชุด เดินไปครึ่งทาง แล้วไงต่อ? โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากมูลนิธิศิลปวัฒนธรรมแห่งชาติ (National Culture and Arts Foundation) จากนั้นก็เริ่มคิดว่าหนังสือรวมภาพถ่ายมีความหมายต่อคนกลุ่มไหนบ้าง และช่วยกระตุ้นให้คนกลุ่มไหนเกิดความสนใจได้บ้าง โดยอีกเรื่องหนึ่งคือการได้มีส่วนร่วมในโครงการค้นคว้าโครงร่างของความเป็นมาเกี่ยวกับการถ่ายภาพในไต้หวันของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน ซึ่งในฐานะที่เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ร่วมค้นคว้า คุณเฉามีโอกาสได้รวบรวมข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ของการถ่ายภาพในไต้หวันตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ซึ่งในระหว่างการรวบรวมข้อมูลนั้น เขาพบว่าข้อมูลต่างกระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆ ทำให้การค้นคว้าและวิเคราะห์เป็นไปอย่างยากลำบาก โดยคุณเฉาบอกกับเราเพิ่มเติมว่า หลังจากที่คิดจะทำสถานที่สำหรับเก็บรวบรวมหนังสือเกี่ยวกับภาพถ่ายแล้ว ก็คิดว่าในไทเปไม่ขาดแคลนพื้นที่จัดแสดง หากแต่ยังขาดสถานที่ที่จะให้เหล่าผู้รักการถ่ายภาพมานั่งอ่านหนังสือ มาเรียนรู้ด้วยตัวเอง หรือใช้เป็นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้รักการถ่ายภาพ เหมือนเป็นฟังก์ชันรูมที่นอกจากจะเป็นสถานที่จัดการบรรยายแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการสร้างปฏิสัมพันธ์ในหมู่สมาชิกได้ด้วย และบางทีในอนาคตข้างหน้า เราอาจจะย้ายสถานที่ไปยังที่ที่กว้างขวางและมีความเพียบพร้อมมากกว่านี้ก็เป็นได้
ในยุคสมัยที่มนุษย์เรามีโอกาสได้ชื่นชมภาพถ่ายอย่างง่ายดายนี้ ความสนใจของคนเราถูกดึงดูดไปอย่างง่ายดาย แต่ก็มักจะลืมมันไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน การค้นหาภาพในโลกไซเบอร์อาจจะเป็นอะไรที่สะดวกมากๆ แต่ก็มักจะอยู่อย่างกระสานซ่านเซ็น ขาดทั้งการจัดวางอย่างมีลำดับขั้นและเป็นระบบ คุณเฉาเหลียงปินจึงเห็นว่า หนังสือรวมภาพถ่ายเป็นอะไรที่เป็นความพอดีระหว่างภาพถ่ายจริงกับไฟล์ดิจิทัล คือพวกหอศิลป์ทั้งหลายอาจไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะจัดซื้อภาพถ่ายจริง แต่ถ้าเป็นหนังสือรวมภาพถ่ายแล้วก็จะง่ายกว่ามาก อีกอย่างคือหนังสือเป็นสื่อที่ใช้ในการนำเสนอแนวคิด รวมไปจนถึงที่มาที่ไปของความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ของผู้แต่งอยู่แล้วเช่นกัน
ระดมรับบริจาคจากมวลชน ได้มากว่า 2,000 เล่ม
ปัจจุบันห้องสมุดได้เก็บรวบรวมหนังสือไว้มากถึง 2,272 เล่ม ซึ่งได้มาจากการรับบริจาคจากประชาชนทั่วไป โดยคุณเฉาเหลียงปินได้บริจาคหนังสือรวมภาพถ่ายที่ตัวเองมีอยู่ออกมาก่อนจำนวน 400 เล่ม ซึ่งสิ่งที่คุณเฉาทำนั้นสร้างความประทับใจแก่ ศ.กัวลี่ซิน (郭力昕) เป็นอย่างมาก จน ศ.กัว ได้เอาหนังสือที่ตัวเองมีอยู่มาเก็บใส่กล่องจำนวน 24 ลัง ก่อนจะนำไปบริจาคให้กับห้องสมุดด้วยตัวเอง โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือนในการจัดการหนังสือทั้งหมดนี้ ในขณะที่นิตยสาร IMA ซึ่งเป็นนิตยสารด้านการถ่ายภาพรายไตรมาสของญี่ปุ่นก็ส่งนิตยสารมาบริจาคเป็นจำนวน 3 ลังใหญ่ และหลังจากที่คุณเฉาเหลียงปินเดินทางไปเยือนนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ คุณโรเบิร์ต แฟรงก์ ช่างภาพชื่อดังชาวสหรัฐฯ ได้มอบหนังสือรวมภาพถ่ายที่มีคุณค่าจำนวนหลายเล่มให้กับห้องสมุด และเมื่อคุณเฉาเหลียงปินเดินทางไปร่วมงานแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมที่กรุงปารีส ก็ได้นำเอาหนังสือรวมภาพถ่ายจำนวนหลายสิบเล่มไปบริจาคให้แก่ผู้จัดงาน คาดไม่ถึงว่า 3 เดือนให้หลัง หอสมุดแห่งชาติของฝรั่งเศสจะส่งเอกสารมาปึกใหญ่ที่ระบุอย่างชัดเจนถึงวันที่ที่หนังสือแต่ละเล่มถูกนำไปจัดไว้ในห้องสมุด นอกจากนี้ ก็ยังมีผู้อ่านบางรายที่ไปโพสต์ข้อความบนแฟนเพจเพื่อสอบถามถึงหนังสือรวมภาพถ่ายของช่างภาพชาวญี่ปุ่นผู้หนึ่ง เมื่อทราบว่าทางห้องสมุดยังไม่มีหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านรายนั้นก็รีบสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตและจัดส่งไปให้กับห้องสมุดโดยตรงทันที
สำหรับหมวดหนังสือที่ทางห้องสมุดเก็บสะสมไว้ หมวดที่มีหนังสือมากที่สุดคือหนังสือรวมภาพถ่าย รองลงมา ได้แก่ หนังสือประวัติศาสตร์การถ่ายภาพ หนังสือวิจารณ์ภาพถ่าย นิตยสารด้านการถ่ายภาพ และเอกสารแนะนำของนิทรรศการภาพถ่าย จากจำนวนหนังสือที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้คุณเฉาเหลียงปินต้องเริ่มคิดถึงการย้ายไปยังสถานที่ที่กว้างขวางมากขึ้น อีกทั้งยังคิดที่จะรวบรวมหนังสือเกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายภาพ รวมไปจนถึงภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างๆ มาเก็บสะสมไว้ในห้องสมุดด้วย
จริงๆ แล้ว เราสามารถจัดหางบประมาณเพื่อใช้ในการจัดซื้อหนังสือทั้งหมดได้ในครั้งเดียว หากแต่การทำแบบนั้นจะเหมือนกับเป็นการทำคนเดียวแถมยังขาดรสชาติ ต่อมามีโอกาสได้รู้จักกับผู้บริจาคหนังสือรายอื่น อาสาสมัคร และคนทั่วไปมากขึ้น จึงค่อยๆ เพิ่มยอดสะสมจนถึงเป้าหมายที่ 2,000 เล่ม สำหรับคุณเฉาแล้ว การรวบรวมหนังสือบริจาคจากหลายๆ ฝ่ายนี้ เป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยนับจากตัวเลขจำนวนผู้บริจาคหนังสือซึ่งมีมากถึง 190 ราย ทำให้เขามีโอกาสได้ติดต่อกับกลุ่มผู้รักการถ่ายภาพที่หลากหลาย จึงได้รับรู้ถึงความสนใจหรือข้อสงสัยของเหล่าช่างภาพรุ่นใหม่มากขึ้น
การอยู่รวมกันเป็นชมรมจะดึงดูดให้ผู้ที่มีความสนใจคล้ายๆ กันมาอยู่รวมกัน แต่ก็อาจทำให้ผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดใหม่เกิดความรู้สึกแปลกแยกได้เช่นกัน โดยคุณเฉาย้ำกับเราว่า เราหวังว่าจะมีความเป็นมืออาชีพ แต่ไม่ใช่เป็นกลุ่มที่ปิดกั้นตัวเองจากภายนอก โดยในขณะที่ชมรมมีการขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ นั้น เราก็ยินดีที่จะต้อนรับผู้ที่มาจากต่างวงการด้วยเช่นกัน เพราะเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับเรามาก นอกจากการแลกเปลี่ยนหนังสือแล้ว Lightbox ยังได้เชิญช่างภาพมือดีจากต่างประเทศให้เดินทางมาไต้หวันเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ทำงานหรือทำเวิร์กชอปอยู่เป็นระยะ เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มช่างภาพไต้หวันมีโอกาสได้คลุกคลีกับช่างภาพจากต่างแดน
แล้วบทบาทของ Lightbox จะมีความแตกต่างกับศูนย์วัฒนธรรมการถ่ายภาพแห่งชาติ (National Center of Photography) อย่างไรเล่า? ศูนย์ฯ แห่งนี้จะแล้วเสร็จในปี 2018 ภายในจะมีการจัดแสดงประวัติการถ่ายภาพในไต้หวัน เทคนิคการถ่ายภาพ งานวิจัยเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ภาพถ่ายล้ำค่า นิทรรศการต่างๆ ด้วยจุดประสงค์ที่จะให้ความรู้และส่งเสริมการถ่ายภาพ
คุณเฉาเหลียงปินชี้ว่า ทางศูนย์ฯ ไม่ได้มีการจัดสถานที่ไว้ใช้สำหรับเก็บหนังสือ อีกทั้งระบบการแบ่งหมวดหนังสือที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้ครอบคลุมถึงความหลากหลายของภาพถ่ายและการถ่ายภาพ การหวังอาศัยองค์กรเก็บสะสมหนังสือเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งห้องสมุดเฉพาะทางขึ้น สิ่งที่แตกต่างจากห้องสมุดของพิพิธภัณฑ์ศิลปะโดยทั่วไปคือ เราจะโฟกัสเฉพาะการรวบรวม จัดการและส่งเสริมหนังสือรวมภาพถ่ายของไต้หวัน เหมือนกับเรากำลังทำงานด้านจัดเก็บเอกสารสำคัญ
นักวิจารณ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯ อย่าง Susan Sontag ได้กล่าวในหนังสือ On Photography ของเธอว่า หนังสือคือสื่อที่ใช้ในการจัดวางภาพถ่ายที่มีอิทธิพลที่สุด อีกทั้งยังสามารถช่วยยืดอายุของภาพถ่ายให้ยาวนานมากขึ้นด้วย ในยุคที่ตลาดสิ่งพิมพ์หดตัวลงทุกวันนี้ เส้นทางของการถ่ายภาพไม่ได้สุกใสเหมือนในอดีต การปรากฏตัวของ Lightbox สามารถรวมพลังแห่งภาพถ่ายที่โฟกัสไปยังคุณค่าแห่งภาพถ่ายของไต้หวัน จนปลุกพลังแห่งวัฒนธรรมภาพถ่ายของท้องถิ่นให้ฟื้นตื่นขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเอง และเพื่อจะได้สืบทอดต่อกันไปจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่ขาดตอน
มิใช่เป็นเพียงห้องสมุด แต่เป็นพื้นที่แห่งนวัตกรรม
เมื่อยามราตรีย่างกรายมาถึง โต๊ะเก้าอี้ภายในห้องสมุดถูกเก็บไว้ด้านข้างทำให้ภายในกลายเป็นพื้นที่ว่าง เหล่าหญิงชายทั้งหลายที่แต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างเต็มที่ต่างก็ทยอยกันมาถึง เสียงเพลงแจ๊สลอยล่องงลอดออกมาจากช่องประตูพอให้ได้ยิน ที่แท้ห้องสมุดที่มีชื่อว่า มิใช่เป็นเพียงห้องสมุด กำลังเปิดศักราชหน้าใหม่ให้แก่การทดลองผจญภัยของจิตวิญญาณ
ภาพที่เห็นอยู่นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น เพราะส่วนใหญ่แล้ว ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่มีแต่ความเงียบสงบและเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะขัดกันเป็นอย่างมากกับภาพของผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างคึกคัก ภายในบริเวณสวนวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ซงซาน กล่าวคือในทันทีที่เปิดประตูและย่างเท้าเข้าไปก็ราวกับจะสลัดภาพแห่งความจอแจของภายนอกไว้เบื้องหลังอย่างสิ้นเชิง ระแนงบังตาที่หน้าต่างให้แสงอันอุ่นละมุนตัดกับชั้นวางหนังสือที่ทำจากเหล็กสีดำที่ทั้งเย็นและแข็ง หน้าปกนิตยสารมีแต่ความทันสมัย หากแต่เวลาของที่นี่กลับผ่านไปอย่างเชื่องช้า นอกจากหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบที่มีอยู่เต็มห้องแล้ว ยังมีพื้นที่ขนาด 3x3 ตรม. ที่ผ่านการใช้งานมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งเป็นสถานที่จัดการบรรยาย เป็นตลาดขายของ เป็นที่แสดงดนตรี รวมไปจนถึงเป็นฟลอร์เต้นรำ...
เอาล่ะ... เรากลับมาโฟกัสที่เรื่องของเรากันดีกว่า ตัวเอกของละครบทนี้คือ หนังสือ ซึ่งเก็บสะสมอยู่ที่นี่มากกว่า 30,000 เล่ม รวมถึงนิตยสารด้านการออกแบบปกนับร้อยจากทั้งในและต่างประเทศซึ่งครอบคลุมทั้งด้านกราฟฟิกดีไซน์ การออกแบบอุตสาหกรรม สถาปัตยกรรม แฟชั่น ศิลปะ และหัตถศิลป์ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบเป็นประจำทุกปีเพื่อปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม โดยในปีนี้ยังมีการเพิ่มเติมในส่วนของนิตยสารออกแบบแนวอิสระที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์จากทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย
สำหรับคำถามที่ว่า ใช้หลักเกณฑ์อะไรในการเลือกหนังสือ คุณหลิวฟาง บรรณารักษ์คนปัจจุบันชี้ว่า นอกจากจะให้ความสนใจกับเทรนด์ของการออกแบบและแฟชั่นแล้ว ยังขอคำแนะนำจากสำนักพิมพ์หรือตัวแทนจำหน่าย และยังพิจารณาจากแนวทางการจัดแสดงของร้านหนังสืออิสระต่างๆ ด้วย
ขอเพียงได้มีโอกาสเดินดูหนังสือที่ถูกสะสมไว้ก็จะพบว่ามีหลายเล่มทีเดียวที่เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการออกแบบเลย เช่น อาหารและโภชนาการ การถ่ายภาพ ดนตรี รวมถึงปรัชญาด้านความงาม เป็นต้น เรานำหนังสือที่เกี่ยวกับศิลปะและไลฟ์สไตล์มาเสริม การออกแบบไม่ควรจะถูกจำกัดให้อยู่ในวงเฉพาะหรือในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งของเท่านั้น แต่จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการในชีวิตประจำวันด้วย หากเราโฟกัสไปที่การออกแบบสินค้ามากเกินควร ก็จะเหมือนกับทำอะไรแบบตามน้ำมากเกินไป และสุดท้ายก็จะทำทุกอย่างตามแบบอย่างของต่างประเทศ โดยในทันทีที่มีการใส่องค์ประกอบทางศิลปะเข้าไป ก็จะทำให้มีอิสระทางความคิดมากขึ้น และไม่ตีวงจำกัดอยู่เพียงเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการออกแบบเท่านั้น ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องก่อนจะมาถึงการออกแบบ ต่างก็มีความสำคัญและควรต้องนำมาพิจารณาด้วยเช่นเดียวกัน
ในยุคที่อินเตอร์เน็ตมีความเจริญก้าวหน้านี้ ทำไมเราถึงยังต้องอ่านหนังสือ? ทั้งๆ ที่ข้อมูลเกี่ยวกับการออกแบบมีอยู่มากมายเต็มไปหมด ทำไมเราจึงยังต้องไปที่ห้องสมุด? คุณหลิวฟางให้เหตุผลไว้ 3 ประการคือ หนึ่ง ข้อมูลข่าวสารยิ่งมีมากเท่าไร ก็ยิ่งจำเป็นต้องมีหนังสือมากเท่านั้น ในโลกออนไลน์นี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการก็อปปี้แล้วแปะไว้ มีความซ้ำซ้อนสูง ด้วยเหตุนี้ ทำให้กลับกลายเป็นว่าการเลือกอ่านจากหนังสือจะมีประสิทธิภาพดีกว่า อินเตอร์เน็ตไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง หากว่าอยากทำความเข้าใจกับเรื่องราวเฉพาะด้านของประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ การหาข้อมูลจากหนังสือที่เกี่ยวข้อง เช่น พจนานุกรมเสื้อผ้า หรือการออกแบบสไตล์ตะวันออกกลาง จะสามารถช่วยให้เราได้รับข้อมูลข่าวสารที่ตรงตามวัตถุประสงค์มากกว่าการไปงมเข็มในมหาสมุทรข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต
ประการถัดมา ในการหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตนั้น ข้อมูลที่ปรากฏเป็นลำดับแรกๆ จะเป็นข้อมูลที่กำลังเป็นที่สนใจมากกว่า แต่การจะทำงานด้านการออกแบบนั้น จะต้องค้นหามุมมองของตัวเองให้พบ ดังนั้น การได้เปิดหนังสือที่ตีพิมพ์ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันจะทำให้เราได้รับผลตอบสนองที่ไม่เหมือนกัน ส่วนประการสุดท้ายคือ ในบางครั้งการค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต อาจทำให้เราเห็นเฉพาะสิ่งที่อยากจะเห็นหรือคุ้นเคย แต่แรงบันดาลใจในการออกแบบส่วนใหญ่มักจะมาจากสิ่งที่ไม่คุ้นเคยหรือคนที่ไม่รู้จัก ความจำเป็นในการคงอยู่ของทั้งหนังสือและห้องสมุดก็อยู่ตรงนี้เอง เพราะมันสามารถนำเอาความรู้ต่างๆ มาจัดแสดงได้อย่างสมดุล และเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสและทำความเข้าใจได้อย่างเต็มที่
ก้าวข้ามและต่อยอด ผันเปลี่ยนแนวคิดแบบดั้งเดิม
ห้องสมุดแห่งนี้ไม่เพียงเป็นสถานที่ หากแต่ยังมีบทบาทเป็นสื่อกลางที่สำคัญด้วย ในการจัดนิทรรศการแต่ละครั้ง หัวข้อของงานจะต้องมีความเกี่ยวเนื่องกับการออกแบบในด้านใดด้านหนึ่ง ด้วยความหวังว่าจะสามารถดึงดูดให้ผู้เข้าชมมีโอกาสได้เห็นหนังสือบางส่วนที่สะสมไว้ เช่น นิทรรศการศิลปะเย็บปักถักร้อยที่เพิ่งจะผ่านไป สามารถดึงดูดกลุ่มคนที่สนใจในการออกแบบเสื้อผ้าหรืองานแกะสลักและงานปั้นให้เดินเข้ามาในห้องสมุดเพื่อที่จะค้นหาความรู้จากหนังสือที่มีเนื้อหาซึ่งเกี่ยวข้องต่อเนื่องกัน
ในการติดต่อเชิญให้นักออกแบบมาจัดนิทรรศการนั้น ทางผู้บริหารห้องสมุดจะเน้นในส่วนของผลงานแปลกใหม่ที่น่าสนใจ รวมถึงการขยายไอเดียที่ยังไม่สุกงอมเป็นหลัก โดยคุณหลิวฟางบอกกับเราว่า มิฉะนั้น ก็ปล่อยให้ทางหอศิลป์ทั้งหลายเป็นผู้จัดเองก็ได้แล้ว ที่นี่คือสถานที่ที่ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา พวกเขากำลังพยายามจะเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนที่มีต่อห้องสมุดแบบดั้งเดิมเสียใหม่
และเมื่อพิจารณาถึงการผนวกการใช้งานแล้ว สถานที่ปัจจุบันของห้องสมุดแห่งนี้ที่ตั้งอยู่ภายในเขตโรงงานยาสูบเก่า บนพื้นที่ชั้นสองของอาคารทางทิศเหนือ ซึ่งในเดือนกันยายนนี้จะย้ายห้องสมุดลงไปอยู่ที่ชั้นล่าง ด้านข้างของ Taiwan Design Hall ผู้ชมที่เดินชมพิพิธภัณฑ์การออกแบบเสร็จแล้วจะสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลในห้องสมุดได้ทันที ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ก็จะมีการตกแต่งพื้นที่ให้ต่างไปจากสไตล์แบบโรงงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สำหรับท่านที่อยากเกาะติดกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ อย่างไรก็อย่าลืมหาโอกาสมาลองเดินชมดูสักครั้งนะครับ