นิยามใหม่ของวัฒนธรรมท้องถิ่น
ชาวหนานจวงในอดีต อาศัยการทำป่าและขุดถ่านหินในการเลี้ยงปากท้อง ถนนเก่าสือซานเจียนเหล่าเจีย (十三間老街) ที่ปัจจุบันเรียกว่าถนนจงซานลู่ (中山路) คือเส้นทางสัญจรที่สำคัญของหนานจวงเมื่อวันวาน และถือเป็นถนนที่คึกคักที่สุดในหนานจวงด้วย บนถนนสายนี้มีร้านค้ามากมาย ทั้งร้านไม้ ร้านเหล็ก ร้านทำผม และร้านขายของต่างๆ รวมทั้งยังเป็นจุดเรียกรถแท็กซี่ด้วย ความคึกคักของหนานจวงต้องถึงจุดจบในปีค.ศ.1963 เมื่อพายุไต้ฝุ่นกลอเรียพัดถล่มเกาะไต้หวัน ทำให้ถนนจงซานลู่ถูกน้ำท่วมเสียหายอย่างหนัก ร้านค้าทั้งหลายจึงต้องย้ายไปยังถนนจงเจิ้งลู่ (中正路) โดยผู้ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในแถบถนนจงซานลู่ในภายหลังนั้น ก็เพียงเพื่อพักอาศัยมากกว่า ทำให้ถนนจงซานลู่ไม่คึกคักเหมือนที่เคยเป็นมา และค่อยๆ ซบเซาลงไปเรื่อยๆ
ตราบจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เมื่อทางตำบลได้รับงบประมาณให้บูรณะฟื้นฟูพื้นที่แถบถนนเก่าบนถนนจงซานลู่ ประกอบกับได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง รวมไปจนถึงเหล่าคนรุ่นหลังของชาวบ้านในแถบนี้ เริ่มทยอยกันกลับมาอาศัยอยู่ในบ้านเกิดมากขึ้น ทำให้ถนนเก่าสือซานเจียนเหล่าเจียกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง สำหรับที่มาของชื่อ “สือซานเจียน” นั้น ก็มีการบอกเล่ากันหลายแบบ แต่เรื่องที่เป็นที่นิยมมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือ แต่ก่อนนี้มีผู้เฒ่าท่านหนึ่งเดินทางมาถึงแถบนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะยกนิ้วนับจำนวนร้านค้าบนถนน นับไปนับมานับได้ 13 ร้าน จึงได้ชื่อว่าสือซานเจียน ที่หมายถึงสิบสามร้านนั่นเอง ส่วนเรื่องเล่าอีกแบบหนึ่งก็คือ บนถนนแห่งนี้มีบ้านที่สร้างติดกัน 13 บ้าน ชาวบ้านแถบนี้จึงเรียกแถวนี้ว่าสือซานเจียนที่หมายถึง 13 บ้านได้เช่นกัน แม้ว่าเรื่องเล่าทั้งสองแบบนี้ จะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใดๆ มายืนยัน หากแต่การที่มีการบอกเล่าประวัติความเป็นมาของชื่อแบบต่อๆ กันมานั้น ก็สร้างความรู้สึกที่ใกล้ชิดให้กับผู้คนได้ไม่น้อย
แม้จะไม่เหมือนกับซอยกุ้ยฮัวเซี่ยงที่เป็นทางคดเคี้ยวเล็กๆ แต่มีร้านค้าตั้งอยู่อย่างแน่นหนา ถนนเก่าสือซานเจียนที่กว้างขวางกว่า กลับมีร้านค้าตั้งอยู่แบบกระจัดกระจาย จำนวนนักท่องเที่ยวก็น้อยกว่า จึงเหมาะกับการเดินเล่นกินลมชมวิว เมื่อเราเดินไปเรื่อยๆ บนถนนเก่าสือซานเจียนจะพบว่าป้ายเลขที่บ้านของแต่ละบ้านจะมีความแตกต่างกันไป บนป้ายที่ทำด้วยไม้นอกจากจะมีชื่อถนนและเลขที่บ้านแล้ว ยังมีรูปหลายๆ แบบ ไม่ว่าจะเป็นส้อม ขนมเค้ก หรือกรรไกร และอื่นๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้รู้ว่าในยุคที่ย่านการค้าแห่งนี้ยังเฟื่องฟูในสมัยก่อน ร้านค้าดั้งเดิมที่ตั้งอยู่ตรงนี้เป็นร้านแรกสุดนั้น ทำการค้าอะไร ส้อมกับถุงเป็นสัญลักษณ์ของร้านโชห่วย รูปยันต์ปากั้วหมายถึงร้านหมอดู กรรไกรและหวีหมายถึงร้านตัดผม ขนมเค้กหมายถึงร้านขนมปัง เป็นต้น แต่ละป้ายต่างก็มีอะไรแอบแฝงอยู่ ทำให้ผู้ที่เดินผ่านไปมาเพลิดเพลินไปกับความอยากรู้ที่น่าค้นหานี้
แม้ว่าจะจำนวนร้านค้าบนถนนเก่าสือซานเจียนจะมีไม่มาก หากแต่ผู้ที่มาเลือกเปิดร้านในแถบนี้ ต่างก็มีความรักหวงแหนในวัฒนธรรมของท้องถิ่นเป็นอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่าเราจะเดินเข้าไปในร้านใด เจ้าของร้านก็มักจะมีเรื่องเล่าที่น่าประทับใจมาบอกเล่าให้ลูกค้าฟังอยู่มากมาย ทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและมีไมตรีจิตของชาวฮากกาที่แสดงออกมาอย่างเปี่ยมล้น และร้านห่าวเค่อไจ้อีฉี่ (好客在一起: Hakka Goods) ก็ถือเป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนเลยทีเดียว
ชีวิตแสนสุขกับนกสาลิกาดงสีน้ำเงิน
คุณหลิวอิงหัว (劉英華) เป็นคนเมืองที่ย้ายมาจากนครไทจง เดิมทีทำงานด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่เพราะหลงใหลในวัฒนธรรมฮากกา และหลงรักในความงามของขุนเขาแมกไม้และสายธารของแถบหนานจวง จึงเลือกที่จะย้ายรกรากมาตั้งอยู่บนถนนเก่าสือซานเจียนที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรม โดยเปิดร้านของขวัญแนวครีเอทีฟขึ้นเป็นแห่งแรกในหนานจวง พร้อมกับได้นำเอานกสาลิกาดงสีน้ำเงินที่มักจะพบเห็นได้บ่อยๆ ในแถบหนานจวงมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของนกสีน้ำเงินแห่งความสุข ซึ่งคุณหลิวอิงหัวได้บอกกับเราว่า “สีน้ำเงินสื่อถึงผ้าย้อมครามที่ชาวฮากกานิยมนำมาสวมใส่ และนกสาลิกาดงสีน้ำเงินที่มีนิสัยชอบสะสมอาหาร ก็เหมือนกับเหล่าคุณแม่ของชาวฮากกาที่มักจะชอบทำผักดอง นอกจากนี้ นกสาลิกาดงสีน้ำเงินยังเป็นหนึ่งในนกจำนวนไม่มากที่เลี้ยงลูกรวมกันเป็นกลุ่ม” ทำให้ภายในใจของคุณหลิว ได้ยึดเอานกชนิดนี้ให้เป็นสัญลักษณ์ของชาวฮากกาไปโดยปริยาย และความสุขที่คุณหลิวต้องการจะสื่อนี้ก็ครอบคลุมถึงความสุขจากการได้อยู่กับญาติสนิทมิตรสหายด้วย
หลังจากขบคิดเป็นเวลานาน สุดท้ายคุณหลิวอิงหัวเลือกใช้ชื่อร้านว่า “ห่าวเค่อไจ้อีฉี่ (好客在一起: Hakka Goods)” ซึ่งเธอบอกว่า ไจ้อีฉี่ หมายถึง มีความสุขร่วมกับญาติสนิทมิตรสหาย และเธอก็คิดว่าลูกค้าทุกคนคือเพื่อน เธอจึงยินดีต้อนรับทุกคนให้มาสนุกกันที่ร้านของเธอ ก็เหมือนกับที่หนานจวงมีคนจากหลายเผ่าพันธุ์ ทั้งชาวฮากกา ชาวหมิ่นหนาน ชาวเผ่าไท่หย่า ชาวเผ่าไซ่เซี่ย และมีผู้ย้ายถิ่นฐานใหม่ วัฒนธรรมที่หลากหลายเหล่านี้ต่างก็มารวมกันอยู่ที่นี่ ซึ่งคุณหลิวอิงหัวบอกว่า “ที่หนานจวง วัฒนธรรมต่างๆ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และไม่มีการกีดกันใดๆ” ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเสื้อย้อมครามของชาวฮากกา ภาพต่างๆ ของชาวเผ่าไท่หย่า กระดิ่งไม้ไผ่ที่แขวนอยู่ที่สะโพกของชาวเผ่าไซ่เซี่ย ต่างก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คุณหลิวนำมาใช้ในการออกแบบนกสาลิกาดงสีน้ำเงินของเธอ
คุณหลิวอิงหัวเห็นว่า ชีวิตในหนานจวงเป็นชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขมาก ตื่นเช้ามาก็เด็ดดอกไม้ จากนั้นไปนั่งคุยกับช่างฝีมือชาวพื้นเมืองที่ศูนย์วัฒนธรรมพื้นบ้านหว่าลู่ (瓦祿產業文化館) และทุกที่ในหนานจวงต่างก็เหมาะสำหรับการเดินเล่น ไม่ว่ามุมไหนก็จะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขา คุณแม่ชาวฮากกาทั้งหลายต่างก็ให้การต้อนรับเธออย่างอบอุ่น และมักจะชวนไปนั่งเล่นจิบชาสนทนาสัพเพเหระที่บ้านเป็นประจำ แถมบางทียังเชื้อเชิญให้รับประทานอาหารเย็นร่วมกันอีก ซึ่งคุณหลิวอิงหัวเล่าไปหัวเราะไปว่า บ่อยครั้งทีเดียวที่เธอเดินจากบ้านเพื่อไปทำธุระที่ไปรษณีย์ซึ่งใช้เวลาเดินแค่ 5 นาที แต่เพราะเดินแวะเข้าบ้านโน้นบ้านนี้ไปตลอดทาง กว่าจะกลับถึงบ้านบางทีต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงก็ยังมี
เดือนกุมภาพันธ์ชมซากุระ เดือนเมษายนชมหิ่งห้อย เดือนพฤษภาคมชมดอกหยิวถงฮัว เดือนกรกฎาคมชมดาวยามค่ำพร้อมฟังเสียงกบร้อง เดือนกันยายนชิมปูขน เดือนพฤศจิกายนมีเทศกาลพาสตาอาย (พิธีเซ่นไหว้) ของชาวเผ่าไซ่เซี่ย... แต่ละเดือนของหนานจวงจึงมีบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป และในหนานจวงทุกย่างก้าวของจังหวะชีวิตจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่สามารถทำอะไรได้มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการร่วมวางแผนจัดตลาดนัดร่วมกับสมาคมร้านค้าในถนนเก่าสือซานเจียน ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กลับมาใช้ชีวิตในบ้านเกิด หรือการออกแบบเกมที่ช่วยฝึกฝนภาษาฮากกา เป็นต้น ซึ่งคุณหลิวอิงหัวหวังว่าจะสามารถนำเสนอเสน่ห์ของวัฒนธรรมบนถนนเก่าสือซานเจียนแห่งนี้ให้กับผู้คนได้รู้จักกันมากขึ้น ผ่านการออกแบบของเธอ
Valai เสียงสรรเสริญที่มีต่อความงามของขุนเขาแมกไม้
เมื่อเราเดินไปจนสุดทางของถนนเก่าสือซานเจียน จะเห็นภาพของร้านกาแฟแห่งหนึ่งทอดเข้าสู่สายตา นี่คือร้านสินค้าเกษตรเชิงสร้างสรรค์ที่ก่อตั้งขึ้นโดยทีมงานของคุณชิวซิงเวย (邱星崴) ผู้ที่ทำงานส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นบ้านในแถบหนานจวงมาอย่างยาวนาน และเป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้านเกษตรต้าหนานผู่หนงชุน (大南埔農村) และประสบความสำเร็จจาก Mountain Lodge Hostel มาแล้ว ร้าน Valai นำเอาการเกษตรมาใช้เป็นพื้นฐาน ก่อนจะต่อยอดด้วยการผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ของเหล่าคนรุ่นใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างแรงผลักดันใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจของหนานจวง คำว่า Valai เป็นคำในภาษาฮากกาที่มาจากภาษาอื่นและมีพูดกันเฉพาะในแถบหนานจวง โดย Valai มาจากภาษาของชาวเผ่าไท่หย่าที่หมายถึง “จริงๆ” แต่ในภาษาฮากกาของหนานจวงจะหมายถึงอะไรที่สุดยอดมาก ใช้ในการแสดงความชื่นชมหรือสรรเสริญในสิ่งที่ดีงาม และนี่ก็คือตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมในแถบหนานจวงนี้
ร้าน Valai คิดค้นเมนูอาหารแบบง่ายๆ โดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นเป็นหลัก ช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีหน่อไม้กุ้ยจู๋ที่ชาวพื้นเมืองเก็บมา ในฤดูหนาวจะมีซุปไก่ตุ๋นเห็ดหอม ซึ่งใช้เห็ดหอมที่ปลูกบนขอนไม้โดยชาวพื้นเมือง เมื่อถึงฤดูร้อนก็จะใช้ข้าวอินทรีย์ที่ปลูกจากนาที่เลี้ยงเป็ดควบคู่กันไปด้วย และผักสดที่ปลูกกันเอง เป็นต้น ชาน้ำผึ้งหว่าลู่หม่าเก้า (瓦祿馬告蜜茶) ที่มีเสิร์ฟในร้าน ก็ใช้น้ำผึ้งที่ชาวบ้านเลี้ยงกันเอง นำมาผสมกับหม่าเก้าที่หมายถึงพริกไทยป่า ซึ่งชาวพื้นเมืองไปเก็บมา จนกลายเป็นเครื่องดื่มรสเลิศที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งการผสมผสานของวัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งคุณชิวซิงเวยได้ใช้ Valai เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมสินค้าของท้องถิ่น หากแต่สิ่งที่คุณชิวต้องการผลักดันนั้น มิใช่เพียงแต่ในด้านเกษตรอินทรีย์และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น เขายังหวังว่าจะสามารถค้นหาวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของชาวฮากกาให้กลับมาอีกครั้งด้วย
ตลอดทางริมทางหลวงหมายเลข 3 ภาพดั้งเดิมของนาข้าวเป็นชั้นๆ ต้นชาเป็นชั้นๆ ต้นส้มเป็นชั้นๆ ค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ นี่คือวิธีการเพาะปลูกแบบธรรมชาติดั้งเดิมของชาวฮากกาที่สืบทอดกันมานับร้อยปี โดยใช้ความแตกต่างของระดับพื้นที่ตามธรรมชาติ ถือเป็นวิถีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรม ดังนั้น ในร้าน Valai จึงมีขายชาฟานจวงฉา
(番庄茶) ที่เป็นชาพื้นเมืองซึ่งปลูกในแบบดั้งเดิม ชาซวนกันฉาหรือชาส้มรสเปรี้ยว ที่เป็นชาเฉพาะของชาวฮากกา แถมยังมีข้าวเกรียบและข้าวเกรียบรสส้ม ด้วยความหวังว่าจะสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้กับภาพที่สาบสูญไปแล้วของท้องถิ่นนี้ให้กลับมาอยู่ในสายตาผู้คนอีกครั้ง
เหล่าคนรุ่นใหม่ที่มาอยู่รวมกันอย่างไม่ได้นัดหมายในแถบถนนเก่าสือซานเจียนแห่งนี้ ต่างก็มีความรักหวงแหนในผืนแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ ก็เหมือนในอดีตที่การทำป่าไม้สร้างความคึกคักให้กับที่นี่
ปัจจุบันวัฒนธรรมที่หลากหลายก็กำลังผลิดอกออกผลอย่างเต็มที่ในหนานจวง คุณชิวซิงเวยบอกกับเราว่า “อยากจะเปลี่ยนถนนเก่าสือซานเจียนให้กลายเป็นหนังสือที่เปิดอ่านกันได้” หนานจวงซึ่งเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมที่แอบแฝงและตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้แห่งนี้ ก็กำลังรอให้เหล่านักเดินทางทั้งหลายเดินทางมาค้นหา สัมผัส และลิ้มลอง
ดื่มด่ำไปกับศิลปะไม่รู้จบที่ซานอี้
เมื่อเราเดินทางลงใต้ไปเรื่อยๆ จะไปถึงเมืองเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งในจังหวัดเหมียวลี่ นั่นคือซานอี้ ที่นี่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะที่อบอวลไปทั่ว บันไดยาวที่มีการวาดภาพกราฟฟิกสวยสะดุดตาแห่งนี้อยู่ด้านหน้าของโรงเรียนประถมเจี้ยนจงกั๋วเสี่ยว (建中國小) ที่อยู่ในเขตหมู่บ้านกว่างเซิ่ง (廣盛村) ตัวบันไดทอดยาวไปตามเนินเขามีจำนวน 89 ขั้น ภาพวาดนี้เกิดขึ้นจากการผลักดันของคุณสวีเหวินต๋า (徐文達) ซึ่งเป็นกำนันของซานอี้ โดยเป็นฝีมือการวาดของจิตรกรท้องถิ่นที่มีชื่อว่าเฉินเฮ่าอวี่ (陳浩宇) ภาพของสถานีรถไฟเซิ่งซิง สะพานขาดหลงเถิงต้วนเฉียว แมวดาว และดอกหยิวถงฮัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของซานอี้ ต่างก็ปรากฏอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในภาพวาดกราฟฟิกบนบันไดแห่งนี้ และไม่ว่าจะแหงนมองภาพแบบไกลๆ จากบนพื้น หรือเอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางภาพบนบันได หรือแม้แต่การขึ้นไปยืนบนยอดสุดของบันไดแล้วมองย้อนกลับมาชมทิวทัศน์ของเมือง ความแตกต่างของความงามที่จุดต่างๆ เหล่านี้ ต่างก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้เสมอ
หมู่บ้านกว่างเซิ่งชุนเดิมเรียกว่าซานชาเหอ (三叉河) ถือเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีความเจริญมาถึงก่อนใครในแถบซานอี้ ทั้งสำนักงานเขต ศาลเจ้าอู๋กู่กงอันเก่าแก่ ร้านโชห่วยที่เก่าแก่ที่สุดในซานอี้ บ้านแบบหลายครอบครัวในอาคารเดียวสมัยญี่ปุ่นที่เรียกว่าซานฮ่งอู (三鬨屋) ต่างก็มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมแอบแฝงอยู่อย่างลึกซึ้ง ที่หมู่บ้านกว่างเซิ่งชุนแห่งนี้ มีบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ อาคารบ้านเรือนหลายแห่งถูกแต่งแต้มด้วยภาพวาดที่มีสีสันหลากหลาย และมีความเป็นฮากกาแฝงอยู่ ยกเก้าอี้มานั่งจิบชาชมดอกหยิวถงฮัว สวมงอบทรงสูงพร้อมนึกภาพคนในอดีตที่ต้องแบกฟืนกองใหญ่เดินไปมา หรือแม้แต่การนั่งยองๆ เล่นดีดลูกแก้วกับเด็กๆ แต่ละมุมของหมู่บ้านกว่างเซิ่งชุนต่างก็มีภาพแห่งการสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างรอยยิ้มให้ผู้ที่มาพบเห็นได้เสมอ และในหมู่บ้านแห่งนี้มีอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ซึ่งอาบไปด้วยกลิ่นอายของวันวานตั้งอยู่มากมาย บางครั้งเราก็จะได้เห็นภาพของคุณแม่ชาวฮากกาออกมาตากผักดองเค็มหน้าบ้าน และชาวบ้านที่มักจะทักทายและสนทนากันอย่างออกรส รวมไปจนถึงตามถนนหนทางก็จะมีแต่กลิ่นอายของวัฒนธรรมฮากกาที่อบอวลไปทั่ว สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นระเบียงแห่งฮากกาจริงๆ
ศาลเจ้าอู๋กู่กง (五穀宮) ที่มีความเก่าแก่ยาวนานถึง 280 ปีแห่งนี้ ก็มีอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย งานศิลปะบนกำแพงด้านนอกของตัวอาคารศาลถูกประดิดประดอยขึ้นจากการนำหินสีมาปะติดปะต่อกันเป็นภาพวาด งานแกะสลักบนเสาและตามผนัง ไม่เพียงแต่จะมีร่องรอยของประวัติศาสตร์ หากแต่ยังอาบไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะจากวัฒนธรรมท้องถิ่นของไต้หวันด้วย ศาลเจ้าแห่งนี้สักการะเทพเจ้าเสินหนงต้าตี้ (神農大帝) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเกษตร ถือเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในแถบซานอี้ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในท้องที่ คุณหันเม่าเจี๋ย (韓茂傑) ประธานคณะกรรมการศาลเจ้าบอกกับเราว่า เทพเจ้าเสินหนงช่วยดลบันดาลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองสงบร่มเย็น ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข และยังช่วยรักษาโรคด้วย โดยในยุคแรกๆ ที่การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้า ชาวบ้านในแถบนี้จะมาขอรับใบเซียมซียาจากศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่งมีแบ่งตามอาการของโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคภายในหรือภายนอก โรคตา หรือโรคเด็กและสตรี ในตู้ไม้เก่าแก่ที่อยู่ภายในศาลเจ้ายังมีการเก็บรักษาใบเซียมซีและใบเซียมซียาสมัยโบราณแบบต่างๆ ไว้มากมาย คุณหันเม่าเจี๋ยที่เกิดและโตในแถบซานอี้ได้เป็นประจักษ์พยานถึงความรุ่งเรืองและซบเซาของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี เขาบอกกับเราว่า “หมู่บ้านกว่างเซิ่งชุนมีถนนสายที่เก่าแก่ที่สุดของซานอี้ ซึ่งแม้แต่ในตอนนี้ก็ยังมีหลายครอบครัวใช้เตาฟืนในการหุงข้าวต้มน้ำอยู่” ชาวฮากกานิยมนำเอาผักที่รับประทานไม่หมดมาตากแห้งหรือหมักดอง ทำให้ที่นี่เราจะได้เห็นภาพแห่งความมัธยัสถ์ของชาวฮากกา และได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของอาหารแบบฮากกา ซึ่งคุณหันเม่าเจี๋ยหวังว่าหมู่บ้านกว่างเซิ่งชุนจะสามารถพัฒนาจนกลายเป็นชุมชนสำหรับการพำนักระยะยาว (Long Stay) เพื่อให้ทุกคนที่มาที่นี่ได้สัมผัสกับชีวิตแบบชาว
ฮากกา และเป็นการสร้างความเจริญให้กับท้องที่ได้เป็นอย่างดี
ครั้งหนึ่งในชีวิตกับสวนลิลลี่ปริศนา
ตามข้อตกลงของ Cittaslow ประชาชนในท้องที่ถือเป็นห่วงโซ่สำคัญในการมีส่วนร่วมต่อการรักษาสภาพแวดล้อม ที่ซานอี้ก็มีสวนลิลลี่ปริศนาที่ดูจะเป็นตัวอย่างที่ตรงตามจิตวิญญาณของ Cittaslow เป็นอย่างดี ที่นี่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการค้าหรือทำกำไร หากแต่เกิดขึ้นด้วยความรักในธรรมชาติและเพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อม เจ้าของสวนคือคุณหวังฝงหัว (王逢華) และภรรยา ต่างก็ทำงานหนักเพื่อฟื้นฟูสภาพธรรมชาติของภูเขาและต้นไม้ในแถบนี้มานานกว่า 30 ปีแล้ว ดอกลิลลี่ที่บานสะพรั่งเต็มหุบเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ธรรมชาติและผืนแผ่นดินได้มอบกลับคืนให้กับทั้งสอง คุณหวังฝงหัวบอกว่า “ลิลลี่ถือเป็นดัชนีบอกความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ที่มีความสูงจากน้ำทะเลในระดับต่ำๆ ในไต้หวัน มันจะเริ่มแตกต้นอ่อนในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งหากถูกยาฆ่าหญ้าในขณะที่ยังไม่โตเพียงพอ มันก็จะตาย”
คุณหวังฝงหัวซึ่งปกติอาศัยอยู่ในเขตซานอี้ ทำงานด้านการแกะสลักไม้ เมื่อ 30 ปีก่อนได้รับที่ดินผืนใหญ่ที่เป็นมรดกของครอบครัวมาดูแล จึงได้เริ่มทำงานทุกวันเพื่อฟื้นสภาพดินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เดิมทีที่ดินผืนนี้ปลูกข้าวและผลไม้จึงมีการใช้ทั้งปุ๋ยและยาฆ่าหญ้าเป็นจำนวนมาก จนทำให้ดินสูญเสียความเป็นธรรมชาติไป คุณหวังบอกกับเราว่า หลังการพ่นยาฆ่าหญ้าแต่ละครั้ง ต้องใช้เวลานานถึง 6 ปี กว่าที่ผืนดินจะฟื้นกลับมาอยู่ในสภาพดีดังเดิม และหลังการทำงานต่อเนื่องอย่างหนัก ขุนเขาและแมกไม้ภายใต้การดูแลของเขาก็สามารถกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นกต่างๆ บินมาทำรังในแถบนี้มากมาย ทั้งนกอินทรี นกตีทองไต้หวัน (นกห้าสี) นกพญาไฟคอเทา และไก่ฟ้าสีน้ำเงิน เป็นต้น ในยามค่ำยังได้ยินเสียงตบตีของเหล่าลิงแสมที่แย่งเขตแดนกัน แถมยังมีเสียงกบร้องตามบึงจนกลายเป็นเสียงดนตรีแห่งธรรมชาติอันสุดแสนจะไพเราะไป
เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้อยู่ในสภาพดั้งเดิมที่สุด ในช่วงปกติสวนแห่งนี้จะไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชม แต่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นช่วงที่ดอกลิลลี่บานสะพรั่งนั้น คุณหวังฝงหัวจะประกาศข่าวการเปิดสวนให้เข้าชมผ่านทางแฟนเพจบนเฟซบุ๊กของตัวเอง และอาจเป็นเพราะธรรมชาติของชาว
ฮากกาที่ชื่นชอบการต้อนรับผู้มาเยือน ทำให้คุณหวังฝงหัวเปิดสวนให้เข้าชมโดยไม่เก็บค่าบัตรผ่านประตูใดๆ แถมบางครั้งยังจัดเตรียมน้ำชาและก๋วยเตี๋ยวแคะที่ต้มด้วยผักดองเค็มที่ทำขึ้นเองมาให้ทุกคนได้รับประทานกันอีกต่างหาก และบางทีสมาชิกในครอบครัวก็มาร่วมด้วยช่วยกัน ด้วยการเป็นมัคคุเทศก์คอยแนะนำสภาพแวดล้อมของระบบนิเวศและพาผู้มาเยือนเดินชมสวนด้วย ซึ่งคุณหวังฝงหัวมีความหวังว่า นอกจากผู้มาเยือนจะได้ชมความสวยงามของดอกลิลลี่แล้ว ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความงดงามของการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างผาสุกไปพร้อมกัน
จิบชาชมวิว ดื่มด่ำไปกับชีวิต
ทิวทัศน์ที่สวยสดงดงามของขุนเขาและลำน้ำในซานอี้ รวมไปจนถึงงานหัตถศิลป์อันประณีตบรรจงอย่างการแกะสลักไม้ เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เหล่าศิลปินพากันมารวมตัวและอาศัยอยู่ที่นี่ คุณไช่เซี่ยนถัง (蔡獻堂) ที่เป็นนายกสมาคมงานไม้แกะสลักบอกกับเราว่า “งานแกะสลักของซานอี้จะไม่มีรูปแบบหรือข้อจำกัดใดๆ ทำให้เหล่าคนรักการแกะสลักมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างกัน” ซึ่งในจำนวนประชากรประมาณ 17,000 คนของซานอี้นั้น มีถึง 200 กว่าคนที่เป็นช่างหัตถศิลป์ ซูเหวินจง (蘇文忠) และเจิงหวั่นถิง (曾琬婷) สองสามีภรรยาที่ร่วมกันเปิดร้านเถาปู้โส่วจั้วกงฝัง (陶布手作工房: ร้านงานฝีมือผ้าและดินเผา) ถือเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะคนหนึ่งเป็นช่างฝีมือด้านเครื่องปั้นดินเผา อีกคนทำงานศิลปะบนผืนผ้า ทั้งคู่ย้ายจากถิ่นอื่นมาอยู่ที่ซานอี้ และลงหลักปักฐานที่นี่มาเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว จนซานอี้กลายเป็นบ้านแห่งที่สองของพวกเขาไปแล้ว
ดอกไหน ดอกมะเยา ดอกวีสเตอเรีย ดอกลิลลี่ ดอกกระถินดอย... คุณเจิงหวั่นถิงหัวเราะแล้วบอกว่า “ในซานอี้มีดอกไม้สวยๆ ให้ชมทั้ง 4 ฤดู ช่วงที่แย่ที่สุดก็ยังมีสีเขียวๆ ของต้นไม้ให้ได้ดู แต่ก็ยังเป็นสีเขียวที่มีโทนและเฉดของสีที่แตกต่างกันออกไป” เพราะว่าทั้งคู่ชอบดื่มชา ทำให้งานศิลปะของทั้งคู่ต่างก็หนีไม่พ้นอะไรที่เกี่ยวกับชา คุณซูเหวินจงบอกว่า “มีทิวทัศน์ที่สวยงามมากมายในซานอี้ เรานัดเพื่อนๆ มานั่งจิบชาใต้ร่มไม้กันเป็นประจำ” บรรยากาศที่ทั้งสงบเงียบแต่แฝงไว้ด้วยความงามสง่า ชีวิตที่เรียบง่ายแต่โรแมนติกนี้ ทำให้จิตใจเปี่ยมไปด้วยความเกษมสันต์จากธรรมชาติอันงดงามที่รายล้อมอยู่รอบตัว ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างไม่ขาดสาย จึงไม่น่าแปลกใจว่าที่นี่สามารถดึงดูดให้เหล่าศิลปินทั้งหลายมารวมตัวกัน
ก็เหมือนกับที่กำนันสวีเหวินต๋ากล่าวไว้ว่า “เกียรติยศที่ได้รับจากประกาศรับรองของ Cittaslow International ถือเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง” ที่ทำให้ทุกคนมีหน้าที่ที่จะสร้างอนาคตและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังที่มีผู้กล่าวไว้ว่า ทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของไต้หวันคือคน ทุกคนในเมืองแห่งชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ในเหมียวลี่นี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่มาแต่ดั้งเดิมหรือที่ย้ายมาอยู่ใหม่ ต่างก็มีจิตใจที่รักหวงแหนในผืนแผ่นดินของที่นี่ เราจึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านได้มีโอกาสมาสัมผัสกับชีวิตในแบบช้าๆ ตามสไตล์ของสโลว์ไลฟ์ในเมืองกลางหุบเขาแห่งนี้ เพื่อร่วมกันวาดฝันในเมืองแห่งความสุขนี้ไปพร้อมๆกัน