สับปะรดที่ไม่ธรรมดา
ปัญหาของการทำการเกษตรในไต้หวันที่พบเห็นได้ทั่วไปคือ พื้นที่เพาะปลูกมีขนาดเล็ก และเกษตรกรต่างก็เป็นผู้สูงวัย กัวจื่อเหว่ย (郭智偉) จัดตั้งสหกรณ์ Greenland Flora ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2005 ก่อนจะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โดยใช้เวลา 6 ปี หรือประมาณ 3 ฤดูกาลผลิตในการปรับเปลี่ยน จนทำให้ขณะนี้มีเกษตรกรเป็นสมาชิก 25 ราย พื้นที่เพาะปลูกรวมกันมากกว่า 100 เฮกตาร์ (ประมาณ 625 ไร่) ทำให้มีผลผลิตเพียงพอต่อการป้อนเข้าสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ
เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกรวมกันมีขนาดใหญ่ จึงสามารถเจรจาเพื่อหาช่องทางจำหน่ายและส่งออกที่มั่นคงได้ และมีการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับช่วงเวลาการส่งออก โดยที่สหกรณ์จะรับซื้อในราคาประกัน เกษตรกรจึงไม่ต้องกังวลกับปัญหาราคาตกต่ำในช่วงอุปสงค์-อุปทานขาดความสมดุล ทำให้สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่กลับสู่ชนบทมาทำการเกษตรและร่วมมือกัน ส่งผลกลายเป็นวัฏจักรที่ดี
ชาวไร่สับปะรด ไม่เพียงรู้สึกว่าเป็นกิจการที่มองเห็นอนาคต ที่สำคัญยังทำให้ครอบครัวอบอุ่น มีโอกาสได้ดูแลผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน ทำให้คน 3 รุ่นได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ทางสหกรณ์ยังให้คำแนะนำในด้านเทคนิคการเพาะปลูก และเนื่องจากอุณหภูมิช่วงกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ รังสีอัลตราไวโอเลตก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สับปะรดต้องตากแดด ที่ผ่านมาชาวไร่จึงนิยมทำหมวกให้สับปะรด แต่ในปัจจุบัน ช่วงอากาศร้อนในฤดูร้อนเช่นเดือนพฤษภาคม ก็จะใส่เสื้อให้สับปะรดไปเลย การใช้ถุงห่อและกางตาข่ายดำเพื่อบังแดดสองชั้น ก็เพื่อเอาใจใส่ดูแลสับปะรด เทคนิคในการปลูกสับปะรดแบบนี้ ทำให้ประเทศผู้ผลิตสับปะรดรายสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แต่มองด้วยความอิจฉา และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้สับปะรดไต้หวันมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก
เทคโนโลยีชีวภาพที่ล้ำหน้าของไต้หวัน ก็มีส่วนในการทำให้สับปะรดกลายเป็นสับปะรดที่ไม่ธรรมดา โดยบริษัท Chappion Bio ของไต้หวันร่วมมือกับบริษัทยาของอิสราเอล ในการสกัดเอนไซม์ Bromelain จากลำต้นของสับปะรด เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยถูกไฟลวก โดยได้รับอนุญาตให้วางจำหน่ายใน 17 ประเทศแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการยื่นขอขึ้นทะเบียนยาในสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานและผู้เกิดแผลไหม้จากอาวุธเคมี หลินอีฝัน (林一帆) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ Chappion Bio บอกว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยในการสกัดโมเลกุลจากใบสับปะรด เพื่อผลิตเป็นอาหารบำรุงสุขภาพที่จะมีสรรพคุณในการต้านอาการอักเสบ ถือเป็นการใช้ประโยชน์ทุกส่วนของสับปะรด
ท่ามกลางแสงแดดแผดเผาในฤดูร้อน คงไม่มีอะไรที่จะคลายร้อนได้ดีกว่าการกินสับปะรดเย็น ๆ ที่หวานฉ่ำ และยังมีผู้ประกอบการไต้หวันอีกมากมายผลิตสินค้าพื้นเมืองสำหรับเป็นของฝากติดมือ เช่น พายสับปะรดที่มีรสหวานอมเปรี้ยวซึ่งไส้ข้างในผลิตจากสับปะรดพื้นเมืองหรือสับปะรด “จินจ้วน” โดยเปลือกขนมก็มีทั้งกรอบหรือนิ่ม รสชาติเหล่านี้ล้วนแต่เป็นรสชาติที่แท้จริงของไต้หวัน
พุทราพันธุ์พื้นเมืองของอินเดียถูกนำเข้ามาในไต้หวันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1944 โดยในตอนนั้น รสชาติของมันทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด หนักไม่ถึง 10 กรัม แต่พอถูกนำมาปลูกในไต้หวันแล้ว ก็กลายเป็นพุทราที่มีน้ำหนัก 200 กรัม แถมยังเปลี่ยนโฉมเป็นทั้งกรอบและหวานฉ่ำ นี่เป็นผลงานและความร่วมมือกันของผู้เชี่ยวชาญและเกษตรกร
แสงแดดสาดส่องไปที่ต้นพุทราน้ำผึ้ง ซึ่งอยู่ใต้ตาข่ายกันแดดซึ่งช่วยลดความร้อนจนรู้สึกเพียงความอบอุ่น ทีมงานสัมภาษณ์ “พาโนรามา” มาถึงเขตต้าเซ่อ (大社) นครเกาสง ซึ่งมีเกษตรกรครองแชมป์ติดต่อกัน 6 สมัย ในการประกวดสวนพุทราระดับชาติ ที่จัดโดยสถานีวิจัยและปรับปรุงพันธุ์พืชเกาสง (Kaohsiung District Agricultural Research and Extension Station) พวกเราได้ทำการสัมภาษณ์ซูซิ่นเฉิง (蘇信誠) ราชาพุทรา ที่ครองแชมป์ 2 ปีซ้อน เพื่อมาเรียนรู้เคล็ดลับกันว่า ทำอย่างไรพุทราจึงมีน้ำหนัก ลูกละ 200 กรัมได้
ปลูกพุทราแบบมืออาชีพด้วยเทคนิคยอดเยี่ยม
ซูซิ่นเฉิง สูง 181 ซม. เดินลอดไปมาผ่านต้นพุทราพุ่มเตี้ย ๆ โดยไม่กลัวหนามแหลม ๆ เขาพูดในขณะที่ตัดแต่งผลพุทราว่า “นี่เป็นการแต่งผลครั้งที่ 3 แล้ว” บนพื้นมีพุทราลูกเล็ก ๆ ร่วงหล่นอยู่ไม่น้อย แสดงให้เห็นถึงการทำงานอย่างยากลำบากเพื่อแลกกับการได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี
ซูซิ่นเฉิงเปิดเผยว่าเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้พุทรามีเปลือกบางและกรอบละเอียดคือได้รับไนโตรเจนและโปแทสเซียมในสัดส่วนพอดีเขาใช้สารโปรตีนเช่นนมหรือไข่หมดอายุผสมกับน้ำสาหร่ายหรือกากธัญพืชที่มีโปรตีนผสมเป็นน้ำปุ๋ยชีวภาพเพื่อรดที่ส่วนรากของต้นพุทรา
พันธุ์เกาสง เบอร์ 12 เจินอ้าย (珍愛) ครองแชมป์ในการประกวด ซูซิ่นเฉิงบอกว่า “เบอร์ 12 ให้ผลผลิตต่ำ แต่น้ำหนักต่อลูกสูงถึง 200 กรัม ใหญ่พอ ๆ กับแอปเปิลเขียว รูปทรงสวย เหมาะกับการให้เป็นของขวัญในช่วงตรุษจีน”
เมื่อเทียบกับเกษตรกรรุ่นพ่อที่ปล่อยตามธรรมชาติ ซูชิ่นเฉิงสืบทอดสวนพุทราเป็นรุ่นที่ 3 แม้พื้นที่ปลูกจะน้อยลงแต่ผลผลิตกลับมากขึ้น เขาคิดค้นวิธีปลูกแบบแผ่กิ่งก้านใน 3 มิติ พร้อมดูแลเอาใจใส่อย่างละเอียด ทำให้การปลูกพันธุ์เกาสง เบอร์ 11 เจินมี่ (珍蜜) ได้ผลผลิตต้นละ 240 กก. หรือพื้นที่ 1,000 ตร.ม. ได้ผลผลิตเฉลี่ย 3,600 กก. มากกว่าเกษตรอื่น 1 เท่า
พุทราไต้หวัน สุดยอดในโลก
สถานีปรับปรุงพันธุ์พืชและสถาบันวิจัยการเกษตรของไต้หวันประสบความสำเร็จพัฒนาพันธุ์พุทรา 13 ชนิด และเกษตรกรได้ปรับปรุงพันธุ์เพิ่มอีก 23-30 ชนิด ไต้หวันจึงมีพันธุ์พุทรามากที่สุดในโลก มีความโดดเด่น ผลใหญ่และรสชาติดี จนผลผลิตจากประเทศอื่น ๆ ยากที่จะเทียบเคียงได้
ชิวจู้อิง (邱祝櫻) นักวิจัยสถานีปรับปรุงพืชเกาสง ซึ่งทำการวิจัยพันธุ์พุทรามานานถึง 31 ปีบอกว่า พันธุ์พุทราที่ใช้รับประทานสดทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ที่ไต้หวันพัฒนาขึ้น เธอได้พัฒนาเอง 9 พันธุ์ ที่ภูมิใจที่สุดคือ เกาสง เบอร์ 11“เจินมี่” ซึ่งได้รับฉายาว่า “พุทราน้ำผึ้งน้ำฉ่ำ” มีน้ำมากพอ ๆ กับแตงโม กรอบยิ่งกว่าสาลี่ โดยมีความหวานระดับ 17–18 เลยทีเดียว
นอกจากมีพันธุ์ที่หลากหลาย ฤดูเก็บผลผลิตก็ต่างกัน ทำให้พุทราไต้หวันสามารถออกสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง เหมาะกับการมอบเป็นของขวัญตรุษจีนและยังส่งออกไปต่างประเทศได้ เกาสง เบอร์ 8 เจินเป่า (珍寶) เก็บผลผลิตในเดือนธันวาคม จากนั้น เกาสง เบอร์ 12 เจินอ้าย (珍愛) ก็จะออกสู่ตลาดในเดือนมกราคม ไถหนง เบอร์ 13 เสวี่ยลี่ (雪麗) ที่ทนทานต่อการขนส่ง จะมุ่งเจาะตลาดตะวันออกกลาง แคนาดา ญี่ปุ่น โดยจะออกผลช่วงก่อนตรุษจีน ส่วนเกาสง เบอร์ 11 เจินมี่ (珍蜜) เนื้อกรอบฉ่ำที่หลายคนชื่นชอบ จะออกสู่ตลาดในช่วงก่อนและหลังตรุษจีน