คุณสนใจต่อความเป็นไปของแวดวงการศึกษาหรือไม่? คุณมีความคิดเห็นอย่างไรต่อการศึกษาของไต้หวันในปัจจุบัน รวมไปถึงแนวโน้มในอนาคต? ตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ.2011 เป็นต้นมา กระทรวงศึกษาธิการของไต้หวันได้ผลักดัน โครงการก้าวขึ้นสู่มหาวิทยาลัยชั้นเลิศ ขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับให้มหาวิทยาลัยของไต้หวันก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในระดับแนวหน้าของโลก และในเดือนมกราคม ค.ศ.2018 จัด โครงการปลูกฝังการศึกษาระดับสูงในเชิงลึก โดยเปลี่ยนเป้าหมายจากการเน้นอันดับโลกทางวิชาการของมหาวิทยาลัย ไปสู่การให้ความสำคัญกับการสร้าง Soft Power (อำนาจอ่อน) ที่เน้นการมีส่วนร่วมต่อสังคม การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และการลงมือปฏิบัติจริง ท่ามกลางกระแสแห่งการปฏิรูปที่มีรัฐบาลเป็นผู้ผลักดัน และได้รับความร่วมมือจากทั้งภาควิชาการและกลุ่ม NGOs ก่อให้เกิดเป็นความเปลี่ยนแปลงต่อแนวคิดและทิศทางของการศึกษาที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งพลังของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดเป็นแนวความคิดแปลกใหม่เหล่านี้ ทำให้พวกเขาได้กลายมาเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในแวดวงการศึกษายุคใหม่ไปโดยปริยาย
The International City Wanderer Education Association หรือสมาคมการศึกษาคนเมืองเร่ร่อน (เรียกโดยย่อว่า คนเมืองเร่ร่อน) ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015 โดยเป็นผลพวงจากการจัด การแข่งขันคนเมืองเร่ร่อน ซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะให้บริการต่อกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุระหว่าง 16-26 ปี แนวคิดนี้ริเริ่มมาจากการผลักดันของจางซีฉือ (張希慈) ผู้บริหารของสมาคม ที่ทำการต่อยอดจากงานวิจัยกลุ่มในสมัยที่ยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University, NTU) เรื่อง หลักสูตรความเป็นผู้นำ โดยหลังจบการศึกษาแล้ว จางซีฉือได้ทำการผลักดันกิจกรรมของนักศึกษาที่เดิมทีเป็นการจัดขึ้นเพียงครั้งเดียวนี้ให้กลายมาเป็นกิจกรรมขนาดใหญ่ที่จัดเป็นประจำทุกปี โดยมีการจัดตั้งทีมงานขึ้นมาดำเนินงาน และหลังจากที่จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี กิจกรรมนี้ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มีชื่อเสียงในแวดวงการศึกษาทั้งในและต่างประเทศไปแล้ว
ส่วนสตูดิโอแห่งก้าวย่างที่ดี หรือ Good Step for Place (เรียกโดยย่อว่า Good Step สตูดิโอ) ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ.2017 โดยการริเริ่มของเจิงอวี้เหริน (曾毓仁) นักศึกษาระดับมหาบัณฑิตในวิทยาลัยการศึกษาสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Normal University, NTNU) ร่วมกับหลิวอี้อวี่ (劉奕妤) ซึ่งเป็นนักศึกษาในระดับมหาบัณฑิตในวิทยาลัยสถาปัตยกรรมศาสตร์และผังเมืองของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการลงมือปฏิบัติจริงเพื่อทำการสตาร์ทอัพ (Start-up) ธุรกิจขนาดย่อม และใช้พื้นที่แถบเทียนหมู่ของกรุงไทเปเป็นฐานในการดำเนินงาน โดยนำเอาเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมรวมไปจนถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ ในท้องที่มาประยุกต์ใช้ จนกลายมาเป็นโครงการจัดนำเที่ยว การเปิดหลักสูตรฝึกอบรมด้านต่างๆ และหลักสูตรด้านการศึกษาสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากการสอนเด็กๆ ในระดับประถมศึกษา ก่อนจะค่อยๆ ต่อยอดไปสู่ผู้ใหญ่ จนได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนในพื้นที่เทียนหมู่เป็นอย่างดี
พวกเขาเหล่านี้ต่างก็พร้อมใจกันก้าวออกไปจากกรอบความคิดของการศึกษาแบบเดิมๆ เพื่อเปลี่ยนเอาสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตประจำวันให้กลายมาเป็นบทเรียนเพื่อทำการศึกษา โดยใช้แนวทางการสอนแบบใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ มาชดเชยสิ่งที่ถูกละเลยและขาดหายไปจากการศึกษาในแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นด้านการสอนให้รู้จักตัวเอง การเสริมสร้างลักษณะนิสัย และการมีส่วนร่วมกับสังคม
ใช้การพลิกแพลงและความคิดสร้างสรรค์ เปิดมิติใหม่แห่งการศึกษา
ปัจจุบันการศึกษาในรูปแบบที่ป้อนความรู้ให้กับเด็กมากจนเกินไปเพื่อเน้นการสอบเข้าเรียนต่อ กลายเป็นสิ่งที่ไม่ตรงตามความต้องการของยุคสมัยไปแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นกับนโยบายของภาครัฐเท่านั้น แม้แต่ครูอาจารย์ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความรู้อยู่ในแถวหน้าก็มีจำนวนไม่น้อยที่พยายามเริ่มปรับเปลี่ยน และกลับมาให้ความสำคัญกับคุณค่าของการรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ในฐานะผู้ที่ทำงานในแวดวงการศึกษา
เมื่อเปรียบเทียบกับครูอาจารย์ที่ทำงานอยู่ในระบบและต้องทำงานภายใต้กฎระเบียบต่างๆ ของโรงเรียน รวมไปจนถึงเนื้อหาของหลักสูตรที่กำหนด ครูอาจารย์ที่ทำงานอยู่นอกกรอบจะไม่ถูกจำกัดให้อยู่ในระบบหรือระเบียบต่างๆ จึงสามารถปรับเปลี่ยนและมีความยืดหยุ่นในการเรียนการสอนมากกว่า อันเป็นสิ่งที่คนทำงานในแวดวงการศึกษาแนวใหม่ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นจุดเด่นของการเรียนการสอนแบบนี้ เจิงอวี้เหรินชี้ว่า ครูอาจารย์ในโรงเรียนจะมีแรงกดดันในเรื่องหลักสูตร และหากจะพานักเรียนออกไปนอกโรงเรียนก็จะต้องดูแลนักเรียนเป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน แต่พวกเราสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่อยู่นอกห้องเรียนได้อย่างเต็มที่ เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนการสอน ทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้และสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวได้โดยตรง ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางหรือการปฏิสันถารกับผู้อื่น ข้อดีอีกอย่างคือกิจกรรมของเราเป็นชั้นเรียนขนาดเล็ก รวมทั้งยังสามารถขอความช่วยเหลือจากบรรดาอาสาสมัครต่างๆ ได้ด้วย
การอยู่นอกระบบทำให้กลุ่มคนเมืองเร่ร่อนสามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างเต็มที่ พวกเขาจึงเสนอกิจกรรมเกี่ยวกับการศึกษาแนวใหม่ที่บรรดาคนทำงานในแวดวงการศึกษาต่างก็นึกไม่ถึง นั่นก็คือ การแข่งขันเร่ร่อนของกลุ่มคนเมืองเร่ร่อน โดยใช้การแข่งขันในรูปแบบของเกม ซึ่งเป็นการแข่งแบบทีมโดยมีสมาชิกทีมละ 3 คน แต่ละทีมจะต้องใช้เวลาให้น้อยที่สุด (ปกติจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน) ในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งแบบยากและแบบง่าย โดยให้นำเสนอเป็นรายงานสรุปผลการทำงานที่มีทั้งบทความ ภาพถ่าย และภาพวีดิทัศน์ ตามเป้าหมายที่กำหนด โดยประเภทของเป้าหมายแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ การรู้จักตัวเอง การกระชับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การเผชิญหน้ากับความท้าทาย และการมีส่วนร่วมกับสังคม เพื่อจุดมุ่งหมายในการดึงดูดให้เหล่าคนรุ่นใหม่หันมารู้จักการค้นหาตัวเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม หลังจากเริ่มดำเนินโครงการในปี 2013 เป็นต้นมา ให้บริการแก่ผู้คนรวมมากกว่า 6,000 รายแล้ว ซึ่งโครงการที่เน้นการมีส่วนร่วมนี้ได้รับการยอมรับในวงกว้างจากทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการนำไปประยุกต์ใช้ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการรับสมัครนักเรียน นักศึกษา การรับสมัครอาสาสมัครจากต่างประเทศ รวมไปจนถึงการรับพนักงานเข้าทำงานด้วย
การริเริ่มสิ่งใหม่ๆ มักจะมีความเสี่ยงแอบแฝงอยู่ แต่ก็เหมือนกับลูกวัวเกิดใหม่ที่ไม่กลัวเสือ ทำให้การศึกษาแนวใหม่นี้กลายมาเป็นมิติใหม่แห่งแวดวงการศึกษาดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เรียนรู้จากท้องที่ ฝังรากสู่ท้องถิ่น
การใช้ชีวิตอยู่ในโครงข่ายของชีวิตประจำวันที่มีความสัมพันธ์กับหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัว ทำให้โดยหลักการแล้ว การศึกษาควรจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เรามีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว
เมื่อชื่อของกลุ่มทำงานเรียกว่าเป็น คนเมืองเร่ร่อน ก็สื่อเป็นนัยให้เห็นถึงการนำเอา โครงการคนเร่ร่อน ของคณะระบำหยุนเหมิน (雲門舞集: Cloud Gate) มาเป็นแบบอย่าง หากแต่ได้มีการปรับเปลี่ยนขอบเขตการทำงาน จากระดับข้ามชาติมาสู่เมืองต่างๆ ในชีวิตประจำวัน การเรียนการสอนแบบเร่ร่อนไปตามจุดต่างๆ ภายในเมือง ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ใครก็สามารถเข้าถึงได้ ด้วยแนวคิดที่ว่า เมืองทั้งเมืองคือห้องเรียนของเรา โครงการนี้จึงใช้เมืองมาเป็นตัวกำหนดขอบเขตในการแข่งขัน ประการแรก เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประการที่สอง เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ในแต่ละท้องที่มาประยุกต์ใช้ในการตั้งเป้าหมายของการทำงาน รวมทั้งยังสามารถนำเอาจุดเด่นของแต่ละท้องที่มาผนวกรวมเข้าไว้ด้วยกันได้ ซึ่งเจี๋ยนอี่เจี๋ย (簡以潔) ผู้ได้รับการมอบหมายให้เป็นผู้บริหารโครงการย้ำว่า การแข่งขันในแต่ละพื้นที่ นอกจากจะมีเป้าหมายที่ต้องบรรลุใน 4 ด้านแล้ว ยังมีเป้าหมายเพิ่มเติมคือ การค้นหาเอกลักษณ์ เช่น ผู้เข้าแข่งขันในเขตเกาสงจะต้องพยายามค้นหาประวัติความเป็นมาของท่าเรือเกาสง หรือต้องไปเยือนโบราณสถานในพื้นที่ที่มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็มีนักเรียนนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งนี้เพียงเพื่อจุดประสงค์ในการเรียนต่อเท่านั้น การกำหนดเป้าหมายแบบนี้จะช่วยสร้างความผูกพันในเชิงลึกระหว่างผู้คนกับท้องถิ่นให้เพิ่มมากขึ้น
ส่วน Good Step สตูดิโอ ที่ฝังรากลึกอยู่ในแถบเทียนหมู่ของกรุงไทเป ก็สามารถนำเอาทรัพยากรในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด หากพูดถึงเทียนหมู่ในสายตาของคนทั่วไป มักจะติดภาพของแหล่งที่อยู่อาศัยระดับสูงที่มีบรรยากาศในแบบต่างประเทศอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แต่จากการรวบรวมข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในชั้นต้น รวมไปจนถึงการสัมภาษณ์ประชาชนและร้านค้าในพื้นที่ อีกทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ ในท้องที่ ทั้งกลุ่มศึกษาประวัติศาสตร์แห่งภูเขาหญ้า และกลุ่มพันธมิตรหยกเขียวแห่งเทียนหมู่ ทำให้ค่อยๆ ค้นพบแหล่งโบราณคดีและทรัพยากรทางธรรมชาติที่น่าสนใจในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นระบบจ่ายน้ำบนภูเขาหญ้าและโรงไฟฟ้าซานเจี่ยวผู่ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างซึ่งหลงเหลือมาจากสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองเกาะไต้หวัน แถมยังมีทำเนียบขาวแห่งเทียนหมู่ อันเป็นอาคารที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่ไต้หวันยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ รวมไปถึงบ้านพักเก่าของนายพลหลัวโหย่วหลุน (羅友倫) เป็นต้น และเนื่องจากเทียนหมู่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างตัวเมืองของกรุงไทเปกับภูเขาหยางหมิงซาน ทำให้สวนสาธารณะที่มีอยู่มากกว่า 10 แห่งในพื้นที่แห่งนี้ ต่างก็มักจะมีเหล่าสัตว์น้อยใหญ่แวะมาเยี่ยมเยือนอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเจิงอวี้เหรินได้นำเอาทรัพยากรที่มีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติในท้องที่เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ โดยแบ่งตามกลุ่มอายุ ทั้งการนำเที่ยวในพื้นที่โดยเน้นความสนุกสนาน และหลักสูตรด้านศึกษาสภาพแวดล้อม เช่น ห้องเรียนเล็กๆ แห่งเทียนหมู่ แว่นขยายสู่ความงามของท้องที่ และ หน้าต่างทิวทัศน์แห่งเรื่องราวของเทียนหมู่ เป็นต้น
เจิงอวี้เหรินพยายามเริ่มต้นด้วยการให้ความรู้แก่เด็กๆ ก่อนจะขยายผลขึ้นไปสู่บรรดาคุณพ่อคุณแม่ และค่อยๆ เผยแพร่ไปสู่เหล่าประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ผู้คนทั่วไปตื่นตัวและหันมาให้ความสำคัญกับทรัพยากรในท้องถิ่น และมีความห่วงใยต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางที่หลากหลายในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาสังคมให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปด้วย
แบบอย่างแห่งพลังของคนรุ่นใหม่
กลุ่มคนเมืองเร่ร่อนและ Good Step สตูดิโอ ต่างก็แสดงให้เราได้เห็นถึงศักยภาพที่แอบแฝงอยู่ภายในตัวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างชัดเจน พวกเขาสามารถดึงเอาศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่มีอยู่มาใช้เป็นจุดเด่นในการปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ ทั้งการมีความรู้สึกที่เป็นมิตรต่อโลกภายนอก ความกระตือรือร้นที่อยากจะลองอะไรบางอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ถูกจำกัดอยู่ในกรอบแคบๆ รวมไปถึงความกล้าที่จะทดลองสิ่งแปลกใหม่ อันเป็นการเปิดประตูสู่โลกใหม่แห่งการศึกษา และเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปจากแวดวงการศึกษาในปัจจุบัน
แน่นอนว่าวัฒนธรรมยุคใหม่ที่มาจากคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในมุมมองด้านคุณค่าของการศึกษาในแบบดั้งเดิมอยู่เป็นระยะ เช่นในกรณีของศ.หลี่เจียถง (李家同) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งชาติจี้หนาน ที่ต่อว่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งชาติจินเหมิน ซึ่งเดินออกจากห้องประชุมในระหว่างพิธีจบการศึกษาขณะที่ท่านกำลังกล่าวปราศรัย โดยจางซีฉือให้ความเห็นต่อกรณีนี้เช่นกันว่า ในระหว่างที่เธอกล่าวปราศรัย จะไม่สนใจว่าคนที่ฟังอยู่นั้น กินอาหาร เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือนอนหลับ เธอกล่าวเสริมอีกว่า คนที่นอนหลับอาจเป็นเพราะร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป หรือเนื้อหาที่เธอกล่าวปราศรัยอาจน่าเบื่อเกินไป ซึ่งเธอรู้สึกว่าเธอไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกร้องให้ผู้อื่นต้องให้ความสำคัญกับเธอเท่านั้น การให้ความเข้าอกเข้าใจต่อผู้อื่น และให้ความเคารพต่อความคิดเห็นที่แตกต่างแบบนี้นี่เอง คือสิ่งที่ขาดหายไปจากการศึกษาแบบดั้งเดิม และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมากของเหล่าคนรุ่นใหม่ในยุคนี้
อย่างไรก็ดี จางซีฉือย้ำว่า ก่อนการปราศรัย เธอจะบอกกับผู้ฟังว่าเธอจะพูดอะไร ทำให้ผู้ฟังตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไรต่อไป แต่ก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองด้วย ซึ่งในระบบการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน หลายสิ่งหลายอย่างถูกตัดสินไว้แล้ว ถูกกำหนดไว้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่านักเรียนนักศึกษาจะรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองได้อย่างไร
ดังนั้น ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่เล็กเพียงใด ทั้งคนเมืองเร่ร่อนและ Good Step สตูดิโอ ต่างก็ทำตัวเองให้เป็นแบบอย่าง โดยเริ่มจากมุมมองที่แตกต่างด้านการศึกษามาตอบสนองต่อสิ่งที่การศึกษาแบบเดิมๆ ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาด้านความแตกต่างระหว่างสิ่งเก่าๆ และสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างลงตัว
เจี๋ยนอี่เจี๋ยซึ่งเป็นผู้เข้าแข่งขันในรุ่นที่ 1 เริ่มจากการเป็นอาสาสมัคร จนกลายมาเป็นกำลังสำคัญของทีมงาน เธอเคยมีประสบการณ์เรื่องการปรับเปลี่ยนทัศนคติ และเคยเปลี่ยนงานมาหลายครั้ง ให้ความเห็นว่า ดิฉันเชื่อว่า การทำอะไรสักอย่างที่มีความหมาย และเป็นงานที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่น มีความสำคัญยิ่งกว่าเงิน ในขณะที่เจิงอวี้เหรินบอกกับเราถึงความรู้สึกของนักศึกษาอาสาสมัครที่ชื่อหลี่อวี้เต๋อ (李育德) ว่า หากไม่ได้มาที่นี่ ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียนไปนั้นเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง ซึ่งโดยปกติแล้ว ก็จะทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ชอบไปตามเรื่องตามราวเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้นเอง สิ่งที่เห็นอยู่นี้เป็นเพียงผลสำเร็จเบื้องต้นเท่านั้น อิทธิพลของพวกเขาที่มีต่อการศึกษาซึ่งมีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อบรรดานักเรียน นักศึกษา หรืออาสาสมัคร ที่มีโอกาสได้สัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น หากแต่สังคมโดยรวมต่างก็ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน