คำพูดจากใจของคุณแม่และครอบครัว
พญ.เฉินอวี้ผิงอธิบายว่า สูตินรีแพทย์ส่วนใหญ่เคยชินกับความคิดที่ถือว่า การตั้งครรภ์เป็น “โรค” ชนิดหนึ่ง และเป็น “ผู้ป่วย” ที่ต้องเข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ พญ.เฉิน
อวี้ผิงเล่าว่า “การเปลี่ยนมาทำการคลอดแบบนุ่มนวล สำหรับตัวฉันเองแล้ว มันคือการเรียนรู้ที่จะเอามือของตัวเองไปไขว้ไว้ข้างหลัง”
คุณอวี๋ก้วนฟ่ง (俞冠鳳) ซึ่งให้พญ.เฉินอวี้ผิงช่วยทำคลอดลูกคนที่ 2 เธอจึงมีประสบการณ์การคลอดทั้ง 2 แบบ คือคลอดแบบธรรมดา กับการคลอดแบบนุ่มนวล ในการให้กำเนิดบุตรสาวคนโตเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เธอใช้วิธีคลอดแบบธรรมชาติและไม่ฉีดยาลดอาการเจ็บครรภ์คลอด ซึ่งก็ต้องผ่านประสบการณ์ถูก “ตัดฝีเย็บ” เหมือนกับหญิงมีครรภ์ส่วนใหญ่ ในการคลอดลูกคนที่ 2 เธอเลือกวิธีการคลอดแบบนุ่มนวลซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว “ถ้าหากว่าคลอดแค่ครั้งเดียว ฉันคิดเองว่า ก็ไม่เลวนะ แต่ในเมื่อถูกตัดไปครั้งหนึ่งแล้ว มันเหมือนมีแผลอยู่ในใจ แต่ลูกคนที่ 2 พอคลอดแล้ว ร่างกายไม่มีบาดแผลเลย คลอดตอนแปดโมงเช้า บ่ายสองก็กลับบ้านได้ แม้แต่ค่าใช้จ่ายในการคลอดแบบธรรมชาติที่ประกันสุขภาพจ่ายให้ 3 วัน ก็ไม่ต้องใช้เลยด้วยซ้ำไป” คุณอวี๋ก้วนฟ่งเล่าความหลังอย่างเบิกบาน และแถมท้ายอีกว่า “ในตอนนั้นรู้สึกว่ามันช่างมหัศจรรย์อะไรอย่างงี้ ทำให้อยากจะมีลูกอีกสักคนเลยล่ะ”
การคลอดแบบนุ่มนวลทำให้คุณแม่ ลูกน้อย รวมไปจนถึงทั้งครอบครัว มีความรู้สึกรักและผูกพันต่อกันมากขึ้น ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของคุณแม่ส่วนใหญ่ คุณเลี่ยวเพ่ยเฉิน (廖沛晨) ซึ่งเป็นคุณครูกล่าวว่า “หากต้องการจะคลอดแบบนุ่มนวล จำเป็นต้องมีดรีมทีมนะ เพราะนี่เป็นเรื่องของคนทั้งครอบครัว” แน่นอน การถือกำเนิดขึ้นมาของสมาชิกคนใหม่คือเรื่องของคนทั้งครอบครัว จะเลือกวิธีคลอดแบบไหนดี? มีผลกระทบต่อคุณแม่และลูกน้อยยังไงบ้าง? ต้องเตรียมตัวก่อนคลอดยังไง? ซึ่งเรื่องนี้นอกจากตัวคุณแม่เองต้องเข้าร่วมและทำความเข้าใจแล้ว คนในครอบครัวก็ไม่ควรจะทำตัวเป็นแค่ผู้อยู่วงนอกเท่านั้น
ส่วนคุณแม่อีกคนหนึ่งซึ่งก็คือคุณเหลียงฮั่นซิน (梁瀚心) กล่าวว่า “อย่างน้อยก็ต้องมีสามีคนหนึ่งล่ะ ที่ควรเข้าไปในห้องคลอดด้วย” เธอเล่าประสบการณ์การคลอดของตนเองว่า เพื่อลดอาการเจ็บครรภ์คลอด ระหว่างที่รอคลอด ทุกๆ 10 นาที สามีของเธอต้องคอยนวดอุ้งเชิงกรานให้ครั้งละ 30 นาที “เขาบอกว่า หลังจากฉันคลอดแล้ว เขาคงผอมลงแน่ๆ” และเธอยังเปิดเผยว่า “ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เลือกคลอดด้วยวิธีนี้ เป็นประสบการณ์ที่งดงาม สายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเหนียวแน่นขึ้น ในช่วงระหว่างการทำคลอดก็เปรียบเสมือนเป็นการปูพื้นฐานให้กับบทบาทของคุณพ่อ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การส่งหญิงมีครรภ์เข้าไปให้ห้องทำคลอดเพียงลำพัง ส่วนคุณพ่อจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้อุ้มลูกน้อย แล้วเขาจึงรู้สึกตัวว่าได้กลายเป็นพ่อคนแล้ว”
อู๋เมิ่งเชี่ยน (吳孟蒨) กับอวี๋จั๋วฉี (余卓祺) คือคุณพ่อคุณแม่ที่คนหนึ่งเป็นชาวฮ่องกง อีกคนหนึ่งเป็นชาวไต้หวัน นับตั้งแต่ที่คุณอู๋เมิ่งเชี่ยนเดินทางกลับมารอคลอดที่ไต้หวัน คุณอวี๋จั๋วฉีก็เริ่มเรียนรู้หลักสูตรที่เกี่ยวข้องผ่านวิดีโอคอล เขาเล่าว่า “ลูกสาวของผมคลอดออกมาโดยมีถุงน้ำคร่ำหุ้มไว้ ถ้าเป็นการคลอดแบบทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วเพื่อจะเร่งให้คลอดเร็วๆ ก็จะเจาะถุงน้ำคร่ำ ได้ยินว่าที่ไอร์แลนด์ นี่คือสัญลักษณ์ของความโชคดีนะ” และเนื่องจากระหว่างทำคลอดไม่มีการใช้ยาจึงไม่มีผลข้างเคียงใดๆเกิดขึ้นทารกที่คลอดออกมานอกจากจะรู้สึกตัวดีแล้วสภาพร่างกายก็ยังแข็งแรงดีอีกด้วยคุณแม่เองก็จะฟื้นตัวได้เร็วมากสามารถให้คุณแม่และลูกน้อยพักอยู่ห้องเดียวกันได้อีกทั้งการให้นมแม่และดูแลลูกน้อยด้วยตัวเองก็เป็นไปอย่างราบรื่น
พญ.เฉินอวี้ผิงชอบหยิบยกเอาการปีนภูเขาสูงมาใช้เปรียบเทียบกับการคลอดบุตร “ก็เหมือนกับการพิชิตยอดเขาอวี้ซาน คุณสามารถเลือกที่จะนั่งรถขึ้นไปหรือให้คนอื่นแบกคุณขึ้นไป แต่ถ้าคุณปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง มันจะให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน” ความทรงจำอันตราตรึงแห่งชีวิตที่เป็นหนึ่งไม่มีสองจะช่วยเสริมสร้างสายใยแห่งความรักและผูกพันของคนในครอบครัวให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และจะเคียงข้างครอบครัวให้ก้าวไปสู่ช่วงต่อไปบนเส้นทางชีวิต