“องค์กรพี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไต้หวัน” (TransAsia Sisters Association, Taiwan :TASAT) ก่อ ตั้งครบรอบ 12 ปีแล้ว ในยามบ่ายของวันที่แสงแดดสาดส่อง อุณหภูมิค่อนข้างอบอุ่น องค์กรฯ ได้จัดงานเลี้ยงน้ำชาขอบคุณ ประจำปีในกรุงไทเป บนเวทีมีการแสดงขับร้องหมู่สะท้อนความ หมาย “อะไรคือความหาญกล้า จากญาติมิตรมายังที่ที่ไม่รู้ว่าจะ เป็นอย่างไร......” แม้พวกเธอมิใช่นักร้องมืออาชีพ แต่เสียงร้อง กลับเต็มไปด้วยพลังแห่งความจริงใจ คุณหยาดรุ่ง ลาสา เป็น สมาชิกหนึ่งในคณะฯ เธออยู่ในไต้หวันนานถึง 17 ปีเต็ม และใน ปีที่ผ่านมา เธอได้ก้าวจากการเป็น “คู่สมรสข้ามชาติ” มาเป็นนัก เคลื่อนไหวกิจกรรมที่เป็นสาธารณะประโยชน์
คุณหยาดรุ่งฯ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2520 ราศีพฤษภ เลือดกรุ๊ป AB รูปร่างผอมสูงเรียว พูดจาอ่อนโยนแต่หนักแน่น เวลายิ้ม คล้ายดาราดังฮอลลีวูด “จูเลีย ฟิโอนา โรเบิตส์ (Julia Fiona Roberts) เธอเป็นสาวไทยที่แต่งงานมาตั้งรกรากในไต้หวัน ชื่อ ของเธอมีความหมายว่า “สายรุ้งยามรุ่งอรุณ” มาจากครอบครัว เลี้ยงเดี่ยว คุณแม่ของเธอต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหา เลี้ยงครอบครัว คุณหยาดรุ่งกับพี่ชายอีก 2 คน ถูกแยกย้ายนำ ไปฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านญาติ ทำให้ครอบครัวของเธอมีโอกาสอยู่ กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันน้อยมาก ด้วยสภาพแวดล้อม เช่นนี้ ทำให้คุณหยาดรุ่ง ต้องพึ่งตัวเอง เธอต้องทำงานและดูแล ชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ไม่อยากให้เป็นภาระแก่ครอบครัว ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เรียนคณะบริหารธุรกิจ สาขาบัญชี แต่ เธอสอบในสาขาวิชาสังคมได้คะแนนดีที่สุด ซึ่งบางทีมันอาจ จะเป็นลางบอกว่า คุณหยาดรุ่งจะต้องก้าวไปสู่หนทางแห่งการ เคลื่อนไหวทางสังคมในอนาคตก็เป็นไปได้เหมือนกัน
เมื่อจบปริญญาตรี เธอทำงานเป็นพนักงานขายในห้างสรรพ สินค้า ตอนเธออายุได้เพียง 19 หรือ 20 ปี ครอบครัวของเธอ ก็ได้แนะนำหาคู่สมรสให้ แต่คุณหยาดรุ่งมีความรู้สึกว่า ยังไม่ ถึงเวลาจึงหนีการแต่งงาน คู่สร้างคู่สมที่แท้จริงของเธอคือหนุ่ม ไต้หวัน ทำงานในบริษัทรับ-ส่งเอกสารด่วนระหว่างประเทศ ซึ่ง คุณหยาดรุ่งไม่ได้คิดอะไรมากนักกับ “พรหมลิขิต” นี้ คิดแต่เพียง วา่ ประสบการณท์ ไี่ ดจ้ ากการทำงานจะตอ้ งทำใหเ้ ธอมอี นาคตใน ไต้หวันอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจมาไต้หวัน
คุณแม่สามีช่วยหางานให้ทำ
ตอนมาไต้หวันใหม่ๆ ภาษาเป็นอุปสรรคสำหรับตัวเธอ มากกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก เธอมีความเป็นตัวของตัวเองและ ช่วยเหลือตัวเองมาโดยตลอด แต่เมื่อมาอยู่ในครอบครัวของสามี ไม่สามารถสื่อสารกันได้ กลับถูกมองว่าทำอะไรก็ไม่เป็น จึงรู้สึก ท้อแท้เสียใจ และไม่อาจระบายความรู้สึกของตัวเองได้ ทำให้เธอ ตกอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วน และมีปากมีเสียงกับครอบครัว ของสามีไม่น้อยเหมือนกัน เธอต้องขังตัวเองอยู่แต่ในห้องตลอด ทั้งวัน ไม่คบหาสมาคมกับใคร กระทั่งเคยคิดหนีกลับเมืองไทยโดย ไม่กลับมาไต้หวันอีก ทำให้ครอบครัวสามีของเธอกล่าวหาเธอว่า “หลอกแต่งงาน” แต่เพราะคำสอนของคุณแม่ที่ว่า “เมื่อตัดสิน ใจแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด หากทำไม่ได้จริงๆ จึงค่อยเปลี่ยนใจ” ทำให้เธอมีกำลังใจที่จะกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ไต้หวัน
คุณหยาดรุ่งต้องใช้เวลาในการปรับตัวนานกว่า 3 ปีทีเดียว แม่ สามีรู้สึกเป็นห่วงมาก เกรงว่าเธอจะขังตัวเองทั้งวันในบ้านแล้ว คิดมากฟุ้งซ่าน จึงให้กำลังใจเธอ บอกให้เธอออกไปสูดอากาศ บริสุทธิ์นอกบ้านบ้าง และเพื่อให้คุณหยาดรุ่งปรับตัวได้เร็ว ขึ้น แม่สามีจึงขอให้ร้านเสริมสวยใกล้บ้านรับเธอเข้าทำงานใน ร้าน จะได้รู้จักผู้คนมากขึ้น และเพื่อให้ลูกสะใภ้ฝึกภาษาท้องถิ่น ไต้หวัน จึงซื้อเครื่องเสียงคาราโอเกะ ทุกบ่ายจะเป็นช่วงเวลา ฝึกร้องเพลงของแม่สามีกับลูกสะใภ้
หนทางสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมของคุณหยาดรุ่งเริ่มจาก การท่เี ธอได้ร้จู ักกับเจ้าสาวเวียดนามท่แี ต่งงานมาต้งั รกรากใน ไต้หวัน แนะนำให้เธอไปเรียนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยชุมชนที่ เขตหย่งเหอ นครนิวไทเป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตการศึกษาแบบ ตลอดชีพในไต้หวันของคุณหยาดรุ่ง
เปิดวิสัยทัศน์ใหม่จากมหาวิทยาลัยชุมชน
หลักสูตรเรียนภาษาจีน มิใช่เรียนรู้ภาษาเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้รูปแบบการแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆด้วย นำเอาปัญหาในชีวิตประจำวันที่พี่น้องชาวเอเชียตะวันออก เฉียงใต้เหล่านี้ประสบ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันใน ห้องเรียน มีการจัดอภิปรายกลุ่มย่อยเพื่อจุดประกายแห่งความ คิดจากประสบการณ์ความเป็นจริง สร้างพลังให้แก่พี่น้องชาว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหล่านี้ เมื่อคุณหยาดรุ่งเข้าศึกษาใน มหาวิทยาลัยชุมชนแล้ว เธอจะเป็นนักเรียนที่ชอบถามปัญหา มากที่สุด และถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้น เข้าร่วมการประชุม อภิปราย และเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยชุมชนอื่นๆ รู้จักผู้คนมาก หน้าหลายตา คุณครูก็มีความรู้สึกว่า เธอมีความสามารถที่จะ เป็นผู้นำได้ จึงเลื่อนฐานะให้เป็นจิตอาสา ก้าวสู่องค์กรพี่น้องชาว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มตัว
คุณหยาดรุ่งเล่าให้ฟังถึงความหวังของเธอว่า อยากจะเป็น กองหลังให้แก่พี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหล่านี้ โดย ยึดคติสอนวิธีตกปลาให้พวกเขาเพื่อไปหาปลากินเอง เพื่อให้ ดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยไม่สนใจว่าจะจบการศึกษาระดับไหน หากมี ใจที่จะศึกษาหาความรู้ องค์กรฯ ก็จะเปิดโอกาสให้การศึกษาทุก อย่าง เพื่อนร่วมงานทุกคนก็พร้อมที่จะร่วมเติบโตไปพร้อมๆ กับ พี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหล่านี้
ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา คุณหยาดรุ่งเริ่มต้นจากการ เป็นกรรมการตรวจสอบขององค์กรฯ มาจนถึงรับตำแหน่ง เลขานุการบริหารในอีก 2 ปีถัดมา ทำให้เธอมีโอกาสศึกษา หาความรู้ต่างๆ มากมายจากการทำงานในตำแหน่งที่แตกต่าง กัน ประสบการณ์ที่เคยล้มลุกคลุกคลานในอดีตของเธอ ได้กลาย เป็นเครื่องฟูมฟักให้เธอเติบใหญ่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในเวลาต่อมา
สิทธิประโยชน์ของตนเอง ต้องเรียกร้องเอาเอง
จากการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยชุมชนหย่งเหอ การทำงานที่ องค์กรฯ และประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา ทำให้คุณหยาดรุ่ง ตระหนักว่า สิทธิประโยชน์ของตนเองต้องเรียกร้องด้วยตนเอง แม้จะมีความกลัวอยู่บ้าง ประกอบกับภาษาจีนยังไม่คล่อง แต่ เธอก็ตื่นตัวและรู้ดีว่า หากไม่ช่วงชิงและเรียกร้องด้วยตนเอง สิทธิประโยชน์ของตนจะไม่มีวันได้มาอย่างง่ายๆ การเข้าร่วม อภิปรายในประเด็นต่างๆ ไม่เพียงแค่เป็นภาคปฏิบัติในบทเรียน วิชาหน้าที่พลเมืองเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับสิทธิประโยชน์ของทุก คน ทำให้พี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สนใจและใส่ใจใน ประเด็นที่เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสร่วม กัน แม้บนเส้นทางการต่อสู้ดังกล่าว จะเต็มไปด้วยอุปสรรคขวาก หนาม แต่ในที่สุด สิ่งที่ทุ่มเทก็ได้รับผลตอบแทนเป็นผลงาน
เพื่อส่งเสริมให้พี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม กิจกรรมสาธารณะประโยชน์มากยิ่งขึ้น ในปี 2548 องค์กร พี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไต้หวันได้จับมือกับ ศ.เซี่ยเสี่ยวเจวียน (夏曉鵑教授) แห่งมหาวิทยาลัยซื่อซิน (Shih Hsin University) ออกหนังสือที่มีชื่อว่า “อย่าเรียกฉันว่า เจ้าสาวต่างชาติ” ต่อมาในปี 2553 องค์กรฯ ได้ทำหนังสารคดี “พี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ต้องกลัว” โดยใช้คำภาษา จีนทับศัพท์คำว่า “ไม่ต้องกลัว” ในภาษาไทย บรรยายถึงเส้น ทางการต่อสู้ของบรรดาพี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ กระบวนการเติบใหญ่ของพวกเธอ คุณหยาดรุ่งเป็นผู้กำกับถ่าย ทำด้วยตนเอง และยังฝึกใช้โปรแกรมตัดต่อเองด้วย เป็นผลงาน ร่วมกันของสมาชิกองค์กรพี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในไต้หวันที่ต้องการบอกอะไรบางอย่างให้แก่สังคมไต้หวัน ผ่าน สายตาของพวกเธอ
อาศัยการทำความเข้าใจสร้างสัมพันธ์ในครอบครัว
รูปแบบวิธีการทำความเข้าใจของคุณหยาดรุ่งที่ศึกษาจาก มหาวิทยาลัยชุมชนและองค์กรฯ เธอได้นำมาใช้สร้างความ สัมพันธ์ภายในครอบครัว ซึ่งเดิมทีครอบครัวของสามีก็ไม่ได้เห็นดี เห็นงามให้เธอเข้าร่วมการเคลื่อนไหวเพื่อสาธารณะประโยชน์ มากนัก แม้ว่าคุณแม่สามีจะมีความคิดเปิดกว้างพอสมควร แต่ เมื่อนึกถึงภาพที่ต้องเดินขบวนประท้วงตามท้องถนนแล้ว ในใจ มีปฏิกิริยาต่อต้านอยู่บ้าง แต่คุณหยาดรุ่งได้ยกตัวอย่างให้คุณ แม่สามีฟังว่า “หลายคนบอกว่า บุตรหลานของผู้มาตั้งถิ่นฐาน ใหม่ มักจะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการเชื่องช้า ก็เท่ากับกำลังกล่าวหา หลานแม่นั่นแหละ แล้วคุณแม่จะยอมให้เขาว่าแบบนี้หรือ?” คุณ แม่สามีฟังแล้วย่อมไม่ยอมแน่ ให้กำลังใจคุณหยาดรุ่งไปร่วมเดิน ขบวนเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดเหล่านี้ ความคิด “สิทธิประโยชน์ ของตน ต้องต่อสู้ให้ได้มาด้วยตนเอง” เป็นบทเรียนที่คุณหยาดรุ่ง ได้รับการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยบนท้องถนน
ปัญหาการให้การศึกษาแก่เด็กๆ ก็เหมือนกัน คุณหยาดรุ่งเป็น คุณแม่ที่เข้มงวดมากและจริงจัง แต่คุณหยาดรุ่งเห็นว่า ชีวิต แต่งงานในแต่ละช่วงของแต่ละครอบครัวก็มีปัญหาและความ ยากลำบากที่ยากจะอธิบายได้ เธอเองก็ต้องพยายามทำความ เข้าใจกับครอบครัวตลอดเวลา จึงมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำในสิ่ง ที่เธออยากจะทำ ถึงแม้ครอบครัวจะไม่ต้องให้เธอต้องแบกรับ ภาระมากนักก็ตาม คุณหยาดรุ่งก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่า เธอต้อง พึ่งพาสามีจนไม่มีอิสระเป็นตัวของตัวเอง
คุณหยาดรุ่งเริ่มต้นจากการเรียนภาษาและได้รับการฝึกฝน จากองค์กรพี่น้องชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไต้หวัน ตลอดจน ชุบตัวจากมหาวิทยาลัยชุมชน จนได้รับรางวัลเกียรติยศเยาวชน ผลงานดีเด่นในการมีส่วนเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ ประจำปี 2551 และได้รับเชิญให้เข้าร่วมโครงการการศึกษาเพื่อ สาธารณะ “ซุปเปอร์เอ็กซ์เพิร์ต” ของมูลนิธิ Eball Foundation ประจำปี 2557 แบ่งปันประสบการณ์การเอาชนะความยาก ลำบาก แก้ปัญหาที่เผชิญหน้า และก้าวล้ำตนเอง เธอได้สละ เวลา อุทิศกายและใจ เพื่อสิทธิประโยชน์ที่เป็นธรรม มีความ เสมอภาคสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ และเพื่อให้ไต้หวันซึ่งเป็นดิน แดนที่พักพิงของเธอ กลายเป็นสังคมที่มีความยุติธรรมและเป็น มิตรต่อผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มากยิ่งขึ้น