จะมีคนทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์สักกี่คน ที่สามารถมีสวนขนาด ใหญ่ และกล้ากล่าวอย่างภาคภูมิใจได้ว่า “ที่เห็นอยู่ทั้งหมดคือ สวนเกษตรอินทรีย์ของผมเอง !”
“แชมเปี้ยนฟาร์ม” หรือ 「冠軍農場」 (อ่านว่า กวั้น จวินหนงฉ่าง) ตั้งอยู่ในตำบลฝูซิง เมืองจางฮั่ว ครอบคลุมพื้นที่ 2 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านเอ้อหลิน (二林) และหมู่บ้านปีโถว (埤頭) บนพื้นที่กว่า 387.5 ไร่ เป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์แห่งเดียวในเมือง จางฮั่ว ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และเป็นผู้ ประกอบการทำฟารม์ เกษตรอนิ ทรยี เ์ พยี งไมก่ รี่ ายทมี่ ขี นาดพนื้ ที่ และแปลงเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน
สงิ่ ทนี่ า่ สนใจของแชมปเ์ ปยี้ นฟารม์ คอื ความยากลำบากในการ ดำเนินการ หลังประสบปัญหาทำแล้วขาดทุนมานานกว่า 5 ปี ฟาร์มแห่งนี้เพิ่งเริ่มฟื้นตัวเมื่อปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีการทำ เกษตรพันธะสัญญา (คอนแทรคฟาร์มมิ่ง) กับ PX Mart (全聯 福利中心) ซึ่งเป็นหนึ่งในซุปเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ของไต้หวัน คุณหวงซานหรง (黃三榮) ประธานกลุ่มกวั้นจวิน บอกอย่างตื่น เต้นว่า “ขาดทุนมา 5 ปี ตอนนี้ได้พบกับทางสว่างเสียที !”
ปลายเดือนมกราคม เป็นช่วงที่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง แต่ยัง มีลมเย็นพัดผ่าน ซึ่งเป็นเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตตามฤดูกาลเช่น แครอท ผักกาดเขียวกวางตุ้ง และผักกาดไต้หวันของแชมป์เปี้ยน ฟาร์มที่เอ้อหลิน
เม่อื มองออกไปจะเห็นภาพของแปลงผักทอดตัวเป็นแนวยาว ต้นอ่อนบร็อคโคลี่ที่เพิ่งงอก ผักกาดไต้หวันเขียวขจี รถแทรกเตอร์ ที่นำมาใช้ไถพรวน มีผลผลิตแครอทสีแดง และผักสีเขียวที่เก็บ เกี่ยวแล้ว ตั้งวางเรียงรายเพื่อรอการคัดแยกเกรดและบรรจุ
คุณหวงซานหรงชี้ว่า “สภาพดินที่นี่เป็นดินปนทราย ซึ่งมีการ ระบายอากาศที่ดี ปลูกอะไรก็ได้” ที่ดินแปลงดังกล่าวขอเช่ามา จากบริษัท Taiwan Sugar Corporation (TSC) เป็นพื้นที่ที่ ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ จึงเปรียบเสมือนกำแพงธรรมชาติ ปิดกั้น การรบกวนจากสวนข้างเคียง นับว่าเป็นความโชคดีที่พบพื้นที่ ปลูกที่เอื้อต่อการทำเกษตรอินทรีย์เช่นนี้
กว่า 20 ปีที่คุณหวงซานหรงได้ทำการเกษตรแบบดั้งเดิมตาม รอยเท้าบิดาของเขา แต่จะเพราะด้วยเวลาที่เหมาะสม หรือจะ เพราะเริ่มฉุกคิดที่ทำการเกษตรให้ถูกต้องก็ตาม ทำให้เขาเกิด ความรู้สึกหวาดกลัว “เมื่อเห็นสารกำจัดศัตรูพืช”
“โรคมะเร็งและโรคร้ายที่เกิดเพิ่มมากขึ้นจากสาเหตุการใช้ชีวิต ในแบบสังคมปัจจุบัน ทำให้ผมเริ่มหันมาปลูกผักแบบไร้สารพิษ เอาไว้รับประทานเอง และแจกจ่ายให้กับญาติพี่น้องและเพื่อน บ้าน” คุณหวงซานหรงเล่าให้ฟัง แต่ยิ่งปลูกก็ยิ่งมีความสนใจ และสามารถผลิตจนมีปริมาณมากขึ้น จนปัจจุบันนี้มีพื้นที่ใน การเพาะปลูกมากถึง 370 กว่าไร่ นอกจากนี้ ผักที่ปลูกยังได้รับ การรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์จากมูลนิธิสิ่งแวดล้อม (MOA International) ซึ่งเป็นองค์กรรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ของ ไต้หวันอีกด้วย ทำให้ฟาร์มแห่งนี้ถูกยกระดับให้เป็นนัมเบอร์วัน ด้านเกษตรอินทรีย์ สมดังกับที่ได้รับสมญานามว่า “แชมป์เปี้ยน ฟาร์ม”
แปลงปลูกกลางแจ้งขนาดใหญ่
แม้จะมองเห็นอนาคตและมีพื้นที่เพาะปลูกที่เอื้ออำนวย แต่ไม่ ว่าใครก็หลีกหนีไม่พ้นความล้มเหลวและความผิดหวังที่เกิดขึ้น บนเส้นทางของการทำเกษตรอินทรีย์
ในตอนแรกเนื่องจากยังไม่มีความเชี่ยวชาญ ประกอบกับการ ฟื้นฟูปรับปรุงบำรุงดินต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก คุณหวงซาน หรงเองต้องจ่ายเงินแสนแพงแลกกับความรู้ในการทำเกษตร อินทรีย์ แต่หลังจากได้เรียนรู้เทคนิคและเข้าใจวิธีการที่ถูกต้อง แล้ว กลับต้องประสบกับปัญหาขาดช่องทางการจัดจำหน่ายของ ผลผลิตที่ได้ จึงทำให้เขายังคงขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
พอขาดทุนอย่างหนักกว่า 5 ปี ก็ถูกพ่อแม่คัดค้าน เพื่อนบ้าน ดูถูก แม้แต่ภรรยาก็ไม่เห็นด้วย แต่เขายังคงยึดมั่นในความตั้งใจ เดิม “ลองได้ทำเกษตรอินทรีย์แล้ว ก็จะไม่อยากเลิกทำหรอก !” คุณหวงซานหรงส่ายหัวพร้อมกับยิ้มด้วยความขมขื่น
โชคยังเข้าข้างท่ยี ังมีกล่มุ เพ่อื นเกษตรกรซ่งึ มีแนวคิดเดียวกัน ให้การสนับสนุนและร่วมฝ่าฟันเคียงข้างเขา เขาติดต่อขอเช่า ที่ดินจากบริษัท TSC และรับตำแหน่งเป็นประธานกลุ่ม โดยตัว เขารับผิดชอบในการปลูกมันเทศและมันฝรั่ง ส่วนแปลงพืชผัก ชนิดอื่นๆ เช่น แครอท บร็อคโคลี่ ฟักทอง ผักกาดไต้หวัน พริก หยวก ผักกวางตุ้งไต้หวัน และปวยเล้ง จะมีคนที่เชี่ยวชาญรับ หน้าที่ในการบริหารจัดการโดยเฉพาะ
เพื่อแก้ปัญหาเรื่องโรคและแมลง อันเป็นปัญหาที่น่าปวดหัว ที่สุดของการทำเกษตรอินทรีย์ เขาได้เชิญดร.กัวเยี่ยนเฉิง (郭 彥成) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการศัตรูพืชจากประเทศมาเลเซีย มาเป็นที่ปรึกษาด้วย
แชมป์เป้ยี นฟาร์มยึดหลักเกษตรธรรมชาติในการดำเนินการ ทั้งหมด คุณกัวเยี่ยนเฉิงอธิบายว่า “ปล่อยให้พืชผักมีการเจริญ เติบโตตามธรรมชาติ เราเพียงแค่ใช้วัตถุดิบหรือเครื่องไม้เครื่อง มือบางอย่าง เพื่อช่วยให้พืชผักเหล่านี้มีการเติบโตที่ดีขึ้นเท่านั้น” เช่น กากถั่วเหลือง หรือปุ๋ยปลาหมัก (ได้จากการย่อยสลาย วัสดุเหลือใช้จากปลากุ้ง) ที่มีส่วนประกอบของโปรตีน เพื่อเพิ่ม ความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน แต่โดยหลักๆ แล้วการเพาะปลูกพืช เกษตรอินทรีย์ต้องอย่บู นพ้นื ฐานของระบบนิเวศและสอดคล้อง กับวัฏจักรธรรมชาติ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการรักษาความอุดม สมบูรณ์ของดิน ทางฟาร์มจะพักแปลงโดยปล่อยพื้นที่ทิ้งไว้ก่อน ปลูกพืชอย่างน้อย 62 ไร่ จากเนื้อที่ทั้งหมด 370 กว่าไร่
คุณกัวเยี่ยนเฉิงกล่าวว่า ระยะเวลาในการพักแปลงปลูกขึ้น อยู่กับชนิดของพืช พืชที่มีระบบรากลึก ต้องมีการพักแปลงที่ ยาวนานกว่า โดยทั่วไป การปลูกผักรับประทานใบต้องมีการพัก แปลงปลูกประมาณ 1 เดือนหลังการเก็บเกี่ยวจึงจะเริ่มเพาะปลูก รอบใหม่ สำหรับพืชที่มีลำต้นใต้ดินซึ่งจะมีการหยั่งรากที่ลึกกว่า ต้องมีการพักแปลงปลูกประมาณ 3-4 เดือน
ถอนหญ้า จับแมลง
การเพาะปลูกกลางแจ้ง ช่วยให้พืชผลได้รับแสงแดด อากาศ และน้ำจากธรรมชาติ ดูจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักการเพาะ ปลูกพืช แต่แท้ที่จริงแล้วเกิดจากความบังเอิญที่คุณหวงซานห รงขาดแคลนเงินทุนในการปลูกพืชภายใต้โรงเรือนควบคุมสภาวะ แวดล้อม
การสร้างเรือนกระจกหรือโรงเรืยนตาข่าย จำเป็นต้องใช้ งบประมาณจำนวนมาก สิ้นเปลืองพลังงานและไม่อนุรักษ์สิ่ง แวดล้อมด้วย ขณะที่ผู้บริโภคมีความต้องการผลผลิตที่สวยงาม บีบให้ผู้ประกอบการจำต้องยอมทำตาม และหันไปเพาะปลูกใน โรงเรือน คุณหวงซานหรงบอกว่า หลังจากที่เขารวบรวมเงิน ทุนได้มากพอแล้ว ก็คิดที่จะสร้างโรงเรือนแบบง่ายๆ เหมือนกัน “โรคและแมลงศัตรูพืชเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก การสร้างโรงเรือน พอจะช่วยลดปัญหานี้ลงได้บ้าง”
การต่อสู้กับแมลงศัตรูพืช นับเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่ง
คนทั่วไปถ้าเห็นมอธหรือผีเสื้อกลางคืนบินอยู่ในแปลงปลูก มันเทศ อาจจะรู้สึกถึงความโรแมนติก แต่ในสายตาของ เกษตรกรอย่างเขาแล้ว นี่กลับเป็น สัญญาณเตือนว่า “เจ้าหนอนกระทู้ กำลังจะมาวางไข่ !”
แปลงเพาะปลูกเกษตรอินทรีย์เปรียบ เสมือนสรวงสวรรค์ของแมลงท้งั หลาย แชมป์เป้ยี นฟาร์มจึงใช้การควบคุมโดย ชีววิธี เช่น แบคทีเรียบีที สารล่อแมลง ฟีโรโมน ในการรับมือกับกองทัพแมลง เหล่านี้ ควบคู่กับการใช้อุปกรณ์สารพัด ประโยชน์ซึ่งก็คือมือทั้งสองข้างนั่นเอง
“ถ้ามีหญ้าขึ้นมาก แมลงก็มากตาม” คุณหวงซานหรงกล่าว เมื่อไม่สามารถ ใช้ยาฆ่าหญ้าได้ ก็ต้องใช้แรงงานคนใน การถอนหญ้า ซึ่งทางแชมป์เปี้ยนฟาร์ม ต้องมีต้นทุนในการจ้างแรงงานคนเพื่อ ถอนหญ้าสูงถึงเดือนละ 2 ล้านเหรียญ ไต้หวัน
“พืชผักยิ่งอยู่ในแปลงนานเท่าไหร่ ความเสี่ยงยิ่งมากขึ้นตาม” คุณกัวเยี่ยนเฉิงกล่าว การผลิตพืชผักอินทรีย์ไม่เหมือนกับการ ทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ให้ปุ๋ยก็เติบโตได้เร็ว ซึ่งผักประเภทรับ ประทานใบใชเ้ วลาแคส่ องอาทติ ยก์ วา่ กส็ ามารถเกบ็ เกยี่ วไดแ้ ลว้ แต่ผกั รับประทานใบท่ปี ลกู ในระบบออร์แกนคิ ต้องใช้เวลาในการ เจริญเติบโตอยู่ในแปลงนานกว่า 25 วัน ถึง 1 เดือน ด้วยเหตุ นี้แชมป์เปี้ยนฟาร์มจึงไม่กล้าที่จะลองปลูกผักประเภทห่อปลี เช่น ผักกาดขาวปลีหรือกะหล่ำปลี เป็นต้น
รสชาติที่แสนหอมหวานของ “ออร์แกนิคหรืออินทรีย์”
มันเทศถือเป็นผลผลิตหลักของแชมป์เปี้ยนฟาร์ม และมีหลาก หลายชนิดมาก ตั้งแต่พันธุ์ไถหนง 57 ที่มีผิวเปลือกและเนื้อใน สีเหลือง พันธุ์ไถหนง 66 มีผิวเปลือกและเนื้อในเป็นสีแดง พันธุ์ ญี่ปุ่น เบนิ มิยาซากิ 14 มีผิวเปลือกสีม่วงแดง เนื้อในสีขาวนวล พันธุ์ญี่ปุ่น เบนิ อาซุมะ มีผิวเปลือกสีม่วงแดง เนื้อในสีเหลืองส้ม คุณหวงซานหรง กล่าวอย่าง ภาคภูมิใจว่า เขาสามารถแก้ไข ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับมันเทศได้ ทั้งหมด จนได้รับการยกย่องให้เป็น “กูรูมันเทศ”
และสิ่งที่มาลบล้างความนึกคิด ของคนทั่วไปก็คือ การปลูกพืชที่มี ลำตน้ ใตด้ นิ นนั้ ยากกวา่ การปลกู พชื บนดินเสียอีก
“เพราะมองไม่เห็นจึงสังเกต ได้ยากว่ามีแมลงเข้าทำลายหรือ ไม่” เขายกตัวอย่างของด้วงงวง มันเทศ ซึ่งเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญให้ ฟังว่า มันจะเจาะที่เปลือกให้เป็นรู ลักษณะภายนอกของหัวมันเทศจะ ดูเหมือนปกติ แต่ผ่าออกมาแล้วจึง จะเห็นว่า เนื้อด้านในถูกกัดกิน คนที่ มีประสบการณ์ไม่มากพอจะแยกไม่ออก
ถึงแม้ว่าการเพาะปลูกเกษตรอินทรีย์จะยากลำบากแต่ผลลัพธ์ ที่ได้นั้นหอมหวานยิ่งนัก
การเพาะปลูกแบบเกษตรดั้งเดิมที่ใช้สารเคมี ไม่สามารถทำให้ ผลผลิตมีคุณภาพดีเช่นเดียวกับการเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ อย่างเช่นในกรณีของมันเทศ “ถ้าเป็นมันเทศที่ได้จากการปลูก ด้วยวิธีเกษตรดั้งเดิม เส้นใยอาหารจะมีลักษณะที่หยาบกว่า ส่วน มันเทศอินทรีย์จะมีเนื้อที่เนียนนุ่ม และหวานมาก” คุณหวงซาน หรงเผยว่า ความแตกต่างอยู่ที่ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว การ ปลูกแบบเกษตรดั้งเดิมจะเก็บเกี่ยวมันเทศที่อายุประมาณ 120 วัน แต่มันเทศอินทรีย์จะเติบโตอยู่ในแปลงอย่างเต็มที่ประมาณ 150 วัน “ซึ่งช่วงนี้เองเป็นช่วงที่แป้งถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาล สูงสุด และมันเทศจะมีรสชาติดีที่สุด”
ผลผลิตอื่นๆ ของแชมป์เปี้ยนฟาร์ม อาทิ แครอทและผักกาด เขียวกวางตุ้ง ต่างก็มีรสชาติดี หวาน กรอบ เป็นที่ถูกใจจนต้อง ยกนิ้วให้ “เพียงแต่บางครั้งจะได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่า เจอแมลงอยู่ในผัก” คุณชูกุ้ยหมิน ผู้ช่วยผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการ ตลาด บริษัท PX Mart พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ความร่วมมือคือหนทางแห่งแสงสว่าง
คุณหวงซานหรงได้นำผลผลิตส่งขายให้กับร้านจำหน่ายสินค้า เกษตรอินทรีย์เมื่อหลายปีก่อน แต่ร้านค้าเหล่านี้มีความเข้มงวด ในเรื่องรูปลักษณ์ของสินค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ผลิตผลที่มีตำหนิเพียง เล็กน้อยก็จะไม่รับซื้อ ประกอบกับปริมาณการขายของทางร้าน ที่มีจำกัด เขาจึงต้องยอมขายผักอินทรีย์ในราคาเท่ากับผักที่ปลูก ทั่วไป “ผมลดราคาเพื่อให้ขายได้ แต่กลับโดนรังเกียจ จนรู้สึก อยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา” เขาพูดพร้อมกับถอนหายใจ
ในที่สุด เขาก็โชคดีที่ได้พบผู้มีพระคุณ โดยเมื่อปีที่แล้วทาง บริษัท PX Mart ได้ติดต่อมาที่คุณหวงซานหรง พร้อมกับเซ็น สัญญาทำความร่วมมือกัน
“PX Mart ให้สิทธิพิเศษกับพวกเราค่อนข้างมาก ช่วยจัด กิจกรรมโปรโมชั่นในช่วงที่มีผลผลิตมาก แม้รูปลักษณ์ของ ผลผลิตจะไม่สวย ก็ยังคงรับซื้อ” คุณหวงซานหรงกล่าวอย่างตื้น ตันใจว่า อย่างแครอทที่เก็บเกี่ยวรอบที่แล้ว เนื่องจากมีพายุไต้ฝุ่น ทำให้แช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน บ้างก็แยกเป็นสองหัว บ้างก็มีรูป ร่างเหมือนขาหมู แม้จะไม่มีผลกับรสชาติ แต่รูปลักษณ์ภายนอก ไม่สวยเอาเสียเลย นำไปตัดแต่งก็ยุ่งยาก แต่ทาง PX Mart ยัง คงรับไปขาย
หวังว่าแครอทที่กำลังเก็บเกี่ยวในรอบนี้ จะอวบเนื้อ แน่นสีสวย คุณ หวงซานหรงเผย ยิ้มน้อยๆ ออกมา อาหม่ง ซึ่งรับผิด ชอบบริหารจัดการ ผลผลิตแครอทถึง กับตบอกรับประกัน ว่า “รับรองได้ว่า พั น ธ์ุ เ ซี่ ย ง ห ย า ง ( 向陽) อร่อย แน่นอน !”
ปัจจุบัน แชมป์ เ ปี้ ย น ฟ า ร์ ม ส่ ง มอบผลผลิตให้กับ ทาง PX Mart เป็นประจำทุกสัปดาห์ แบ่งเป็น แครอท 9,000 กิโลกรัม มันเทศราว 6,000 กว่ากิโลกรัม มันฝรั่ง 6,000 กิโลกรัม และยังผลิตผักสดได้ทุกวันเฉลี่ย 3,000 กว่าถุงต่อวันด้วย โดยตั้ง เป้าไว้ว่าจะผลิตให้ได้เป็นวันละ 8,000 ถุงในอนาคต
“ตอนกลางคืนพวกเราไม่นอนหรอก แต่เราไปจับแมลง” เมื่อ หมดความกังวลเรื่องการหาช่องทางจัดจำหน่าย และตัดปัญหา ถูกขูดรีดจากพ่อค้าคนกลางไป คนงานของแชมป์เปี้ยนฟาร์มที่มี อยู่กว่า 70-80 คน รู้สึกเหมือนได้ทานยาที่ช่วยให้จิตใจสบายขึ้น แต่ละคนดูมีชีวิตชีวาเช่นเดียวกับพืชผักอินทรีย์
แชมป์เปี้ยนฟาร์มเติบโตขึ้นพร้อมกับการขยายธุรกิจของ PX Mart และเพื่อให้สามารถผลิตและมอบสินค้าได้ตรงตามเวลา แชมป์เปี้ยนฟาร์มเสาะหาพื้นที่เพิ่มได้อีกราว 312 ไร่ทางตอนใต้ ของไต้หวัน เพื่อขยายการทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์
“เกษตรอินทรีย์คือแนวโน้มของอนาคต หากไม่ทำเสียแต่ตอน นี้ ในอนาคตก็ต้องทำอยู่ดี ในฐานะที่เราเป็นเกษตรกร เมื่อรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง ก็ควรทำเสียแต่เนิ่นๆ” คุณหวงซานหรง กล่าวทิ้งท้าย