เมื่อกระโดดดำลงสู่ใต้ท้องทะเล แหวกว่ายไปตาม กระแสคลื่นที่แปรเปลี่ยนไปของมหาสมุทร ลมหายใจที่ พ่นออกมาได้กลายเป็นฟองอากาศ ที่ค่อยๆ ลอยล่องสู่ อากาศ นับตั้งแต่ปีค.ศ.1990 เป็นต้นมา ผู้กำ กับเคอจินหยวน ต้องใช้ชีวิตกว่าครึ่งอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำในทะเล จากการจับจ้องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับระบบ นิเวศวิทยามานาน กล้องบันทึกภาพของผู้กำ กับเคอจิน หยวนได้บันทึกอัตลักษณ์ระบบนิเวศใต้ท้องทะเลไต้หวัน ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เขาได้พบความเปลี่ยนแปลง อย่างมหันต์ของระบบนิเวศที่ไม่อาจฟื้นฟูกลับคืนมาดั่ง เดิมได้ ทำ ให้เกิดความวิตกกังวลอย่างยากที่บรรยายได้
จับตาความเปลี่ยนแปลงของ มหาสมุทรอีกครั้ง
ผู้กำ กับเคอจินหยวน ซึ่งมีพื้นเพมาจากหมู่บ้านชาว ประมงที่ท่าเรือเซินกั่ง จางฮั่ว ทำ ให้เขามีความผูกพันต่อ ทะเลและมหาสมุทรอย่างมาก เพราะฉะนั้น เขาจึงเลือก ใช้วิธีการบันทึกภาพและลงไปสำ รวจภาคสนาม ด้วยตนเอง บันทึกความเปลี่ยนแปลงของท้อง ทะเล เป็นปากเสียงแทนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไพศาลนี้ แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจะ เก็บบันทึกภาพอันล้ำ ค่าต่างๆ ไว้เป็น จำ นวนมาก และผลิตออกมา เป็นภาพยนตร์สารคดีพิเศษ แพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ สาธารณะ หรือ PTS ใน ไต้หวัน แต่ในใจของผู้กำ กับเคอจินหยวนยังคงมี ภารกิจที่ยังไม่ได้ทำ อยู่ อย่างหนึ่ง นั่นคือ เขาได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องสร้าง ภาพยนตร์สารคดีเก่ยี วกับท้องทะเลท่สี มบูรณ์ออกมาให้ ได้ เพื่อสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เขาจึง วางแผนถ่ายทำ ภาพยนตร์สารคดีชุดใหม่ขึ้น แผนการถ่ายทำ ภาพยนตร์ชุดใหม่ของเขาเริ่มต้นขึ้น เมื่อปีค.ศ.2009 และเริ่มเปิดกล้องเมื่อปีค.ศ.2010 ใช้ เทคนิคการถ่ายทำ ในระบบความคมชัดสูงหรือ HD และ ใช้เวลาในการถ่ายทำ นานถึง 5 ปีเต็มๆ ในที่สุดก็ออกมา เป็นภาพยนตร์สารคดีท่สี มบูรณ์แบบเม่อื ต้นปีค.ศ.2016 ที่ผ่านมา โดยตั้งชื่อเรื่อง “ทะเล” บันทึกภาพระบบนิเวศ ใต้ท้องทะเลรวม 35 ตอน แพร่ภาพเป็นครั้งแรกทาง สถานีโทรทัศน์ PTS ไต้หวัน ฉากแรกที่ปรากฏในภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ก็คือ ภาพ น ้ำ พรุ อ้ นทพี่ งุ่ ออกมาจากใตท้ อ้ งทะเลบรเิ วณเกาะเขาเต่า หรือกุยซันต่าว (龜山島) ประสานกับเสียงฟองอากาศ ที่ผุดออกมาจากใต้ท้องทะเล และเป็นเพียงเสียงประกอบ เพียงอย่างเดียวของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ผู้กำ กับเคอจินหยวนเล่าให้ฟังว่า “ภูเขาไฟใต้ท้อง ทะเลแบบนี้ พบยากมากในโลกนี้ แต่มีในเขตน่านน้ำ ของ ไต้หวัน เราจึงเก็บบันทึกภาพและเสียงเอาไว้ด้วย เพื่อให้ ผู้คนได้เข้าใจว่า ไต้หวันเป็นเกาะที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลาจริงๆ” ผู้กำกับเคอจินหยวนได้ตั้งปณิธานไว้ ว่า ต้องทำ ให้ผู้คนที่ชมภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้เข้าใจว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนผืนพิภพเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น จากใต้ท้องมหาสมุทรนั่นเอง เมื่อเรานำ บทเพลงแห่งทะเลของภาพยนตร์สารคดี ทั้ง 35 ตอน มาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ก็จะปรากฏภาพ แห่งการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต การดำ รงอยู่ของ มนุษย์ และระบบนิเวศ รวมทั้งความเสียหายและการ ฟื้นตัวของผืนพิภพด้วย โดยในแต่ละตอนของสารคดี เรื่องนี้ ได้สะท้อนเรื่องราวต่างๆ และอาศัยสิ่งมีชีวิตเป็น ตัวแทนของภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ผมต้องใช้เวลาใน การติดตามจับตามองนานกว่า 20 ปี จึงปรากฏภาพแห่ง “ทะเล” ให้เห็น หากจะบอกว่านี่คือภาพยนตร์สารคดีแล้ว ควรที่จะบอกว่า มันเป็นเพียงลำ นำ ที่มีเรื่องราวน่าสนใจ ตอนหนึ่งเท่านั้น” นั่นเป็นความรู้สึกลึกๆ ของผู้กำ กับเคอ จินหยวน
สดับตรับฟังเสียงเพรียกจากทะเล ของเรา
ผู้กำ กับเคอจินหยวนได้เลือกวิธีการที่อาจจะเรียก ว่า คงไม่ได้รับความนิยมชมชื่นจากผู้คนมากนัก ไม่มีคำ บรรยาย ไม่มีเสียงพากย์ และไม่มีเสียงดนตรีประกอบ ใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงเสียงจากใต้ท้องทะเลเท่านั้น “เราใช้ภาพจริงๆที่เปรียบเสมือนการสนทนากัน ระหว่างคนกับปลาก็เพื่อให้ผู้คนใจจดใจจ่อต่อสัญญาณ ต่างๆ ที่เราต้องการสื่อสารให้ผู้คนรับรู้ ท่ามกลางความ เงียบสงัด หากมีเสียงดนตรี หรือเสียงพากย์ อารมณ์ ของผู้ชมก็จะถูกดึงให้คล้อยตามไปได้ และอาจจะทำ ให้ ปูแดง (red crab) บนเกาะคริสต์มาสในออสเตรเลียต้องเดินข้ามผืนดินเพื่อไปวางไข่ กลางทะเล การอนุรักษ์ปูบกในไต้หวันกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการงัดข้อกันระหว่าง การอนุรักษ์ระบบนิเวศกับการพัฒนารีสอร์ทริมชายหาด สาระที่ผมต้องการสื่อกับผู้คนลดน้อยถอยลงได้” ผู้กำ กับ เคอจินหยวนอธิบายเป้าหมายของการใช้รูปแบบสารคดี ที่ปราศจากเสียงใดๆ ยกเว้นเสียงธรรมชาติใต้ท้องทะล เท่านั้น และยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า คนส่วนใหญ่ไม่ค่อย มีโอกาสที่จะได้คลุกคลีกับทะเลมากนัก ไม่เคยได้ยินเสียง ปูเดิน หรือเสียงร้องของปลา หรือเสียงเรียกลูกๆ ของ วาฬ ซึ่งผู้กำ กับเคอจินหยวนหวังว่า ผลงานของเขาจะ เปน็ อกี ทางเลอื กหนงึ่ ส ำ หรบั การสดบั ตรบั ฟงั เสยี งเพรยี ก จากทะเล เพื่อให้เข้าใจภาพชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ของ มหาสมุทร ส่วนคุณอวี๋ลี่ผิง (于立平) โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ สารคดี “เกาะของเรา” แห่งสถานีโทรทัศน์ PTS ได้เล่า ให้ฟังกระบวนการผลิตสารคดีเรื่องนี้ว่า แผนการถ่ายทำ ภาพยนตร์สารคดี “ทะเล” ในตอนแรกจะเป็นการถ่ายทำ สิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งจะเป็นรูปแบบที่สามารถสร้างความ สนุกสนานให้แก่ผู้ชม และมีความหมายในแง่ของการ ให้การศึกษาด้วย แต่ผู้กำ กับเคอจินหยวนเห็นว่า รูปแบบ น้ยี ังไม่อาจสะท้อนให้เห็นถึงเน้อื แท้ด้งั เดิมของส่งิ เหล่านี้ ได้ และต้องการจะอาศัยความสุนทรีย์ของธรรมชาติแบบ ตะวันออก มาทำ ให้สารคดีเรื่องนมีความเป็นธรรมชาติ มากยิ่งขึ้น และยังมีความเห็นว่า หากต้องการให้ผลงาน ของไต้หวันส่องแสงเจิดจรัสบนเวทีโลกแล้ว ความเป็น ธรรมชาติแบบดั้งเดิมจะเป็นปัจจัยชี้ขาด คุณอวี๋ลี่ผิง กล่าวอย่างติดตลกว่า คราวนี้ ผู้กำ กับเคอได้ใช้แนวทาง “คุณลุงพูดน้อย” (ไม่มีเสียงพากย์) มาถ่ายทำ สารคดี การจับปลาด้วยวิธีจุดไฟกำลังจะสูญหายไป เรอื่ งนขี้ องเขา
ท่องไปใน 3 มหาสมุทร แสวงหา ความทรงจำ แห่งไต้หวัน
ผู้กำ กับเคอจินหยวนรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้พบ “วาฬ หลังค่อม หรือ วาฬฮัมแบ็ก” โดยบังเอิญ ขณะถ่ายทำ “ทะเล” ที่เขาพยายามค้นหามานานกว่า 20 ปี “ผมรอ มาตั้งแต่ปีค.ศ.1990 จนถึงปีค.ศ.2001 ถึงได้พบวาฬหลัง ค่อมเป็นครั้งแรกที่แหวกว่ายมายังน่านน้ำ ของไต้หวัน ซึ่ง แหวกว่ายอยู่ในบริเวณนี้นานนับเดือน เราได้เช่าเรือออก ไปหา แต่ไม่อาจดำ ลงไปถ่ายทำ ใต้ทะเลได้ทันที เพราะ เมื่อเรือเข้าใกล้ วาฬเหล่านี้ก็จะหายวับไปกับตา” ผู้กำ กับ เล่าให้ฟังด้วยความตื่นเต้นว่า ตอนนั้นได้แต่เพียงใช้กล้อง ส่องทางไกลมองออกจากบนเรือหรือจากชายฝ่งั เท่าน้นั หลังจากนั้นก็ไม่เคยพบเห็นวาฬหลังค่อมอีกเลย ความจริงในยุคที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน ทะเลบริเวณ ภาคใต้ของไต้หวันจะเป็นแหล่งจับวาฬที่สำ คัญ แต่ตอนนี้ ได้ห้ามการจับวาฬมานานแล้ว เพ่อื บันทึกให้เห็นภาพว่าไต้หวันก็เป็นบ้านอีกหลังหน่งึ ของวาฬหลังค่อม ผู้กำกับเคอจินหยวนจึงได้ยกกองถ่าย ข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังราชอาณาจักรตองกา ซึ่งตั้งอยู่ใน แปซิฟิกใต้ เพื่อตามหาร่องรอยของวาฬหลังค่อม “พอมา ถึงวันแรก พวกเราก็ได้เก็บภาพวาฬหลังค่อม ที่สู้อุตส่าห์ ตามหามานานกว่า 20 ปี ตื่นเต้นจริงๆ อยากจะดูและ สังเกตให้เต็มตาอย่างละเอียด แต่ก็ต้องเตือนสติตัวเองว่า ตอนนี้กำลังถ่ายทำสารคดีอยู่ แม้จะรู้สึกเหมือนกับเป็น ภาพลวงตาก็ตาม แต่ก็ต้องรีบติดตั้งกล้องถ่ายเพื่อบันทึก ทุกอย่างที่เห็นอย่างละเอียด เพราะเกรงว่าวาฬเหล่านี้จะ ว่ายหนีจากไปอีกในพริบตา” ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีจะต้องเก็บอารมณ์หลัง กล้องของตนให้มิดชิด แต่คราวนี้ ผู้กำกับเคอจินหยวน เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ซึ่งรู้สึกได้แม้กระทั่งหน้ากล้อง ส่วนคุณอวี๋ลี่ผิงที่ร่วมเดินทางไปด้วย ยังยากที่จะลืมภาพ ผู้กำกับเคอจินหยวนถือกล้องไว้ในมือไม่ยอมวาง แม้จะ สั่นเทาด้วยความตื่นเต้นไปทั้งตัวขณะลงเรือแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะหมดแรงหรือความตื่นเต้นกัน แน่ ซึ่งตอนนั้นคุณอวี๋ลี่ผิงรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นนั้น “เรา ต้องลอยคออยู่กลางทะเลวันละกว่า 12 ช.ม. รอจนกว่า วาฬหลังค่อมจะหมดความกลัว และแน่ใจว่าพวกมันจะ ไม่ว่ายน้ำหนีอีก เราต้องรีบค่อยๆ ลงไปเก็บภาพใต้ทะเล แล้วฟังเสียงร้องของพวกมัน ดูฝูงวาฬหลังค่อมเหล่า นี้แหวกว่ายและกระโดดน้ำไปมากลางทะเล ภาพนี้น่า ประทับใจจริง” ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยต่างๆ จากมนุษย์ ทำให้พันธุ์สัตว์หา ยากและล้ำค่าต่างๆ มากมาย ไม่ปรากฏกายให้เห็นใน แถบน่านน้ำไต้หวันอีก ผู้กำกับเคอจินหยวนจึงตัดสินใจ ยกกองถ่ายไปถ่ายทำยังต่างประเทศ เขาอยากจะเตือน ทุกคนด้วยภาพที่เก็บมาได้ว่า ควรต้องใช้วิธีการที่ถูกต้อง ในการจดั การและอนรุ กั ษท์ รพั ยากรอนั ล้ำ ค่าทเี่ ขาไดเ้ หน็ มากับตาในมหาสมุทรให้อยู่ยงต่อไปอย่างยั่งยื เพื่อเก็บภาพท่าแหวกว่ายอันงามสง่าของปลาฉลาม วาฬ ผู้กำกับเคอจินหยวนต้องอดตาหลับขับตานอน จาก ฝั่งตะวันออกเดินเรือไปทางชายฝั่งตะวันตก และแล่นเรือ ไปยังชายฝั่งภาคใต้ จนไปถึงเกาะเผิงหูเลยทีเดียว แต่ ก็ยังไม่สามารถเก็บภาพที่แท้จริงที่เหล่าปลาฉลามวาฬ แหวกว่ายมายังน่านน้ำไต้หวัน จนต้องยกกองถ่ายไปยัง ประเทศฟิลิปปินส์ ปะการังจะรวมตัวกันวางไข่ในแถบมหาสมุทรท่ตี ้งั อยู่ ในแถบร้อน โดยมีปลานานาพันธุ์นับล้านๆ ตัว แหวก ว่ายหมุนวนไปมาจนทำให้น้ำกลายเป็นวังวน และยังมี ภาพปูทะเลขึ้นมาวางไข่บนฝั่ง รวมทั้งยังมีฟอสซิลยุค กอ่ นประวตั ศิ าสตรท์ ถี่ กู คลนื่ ซดั เข้าฝงั่ ระลอกแลว้ ระลอก เล่า ชนเผ่ายามิบนเกาะหลานอวี่ (蘭嶼達悟族人) หรือ เกาะกล้วยไม้ออกเรือหาปลาตามประเพณีที่บรรพบุรุษ สืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน และยังมีภาพสาวชาว เกาะกำลังเก็บสาหร่ายตามโขดหินริมฝั่งเพื่อเอามาทำ เป็นวุ้น กว่าที่จะเก็บภาพต่างๆ เหล่านี้ได้ ผู้กำกับเคอจิน หยวน ต้องใช้ถังออกซิเจนปีละกว่า 200 ถัง และยังต้อง ติดต่อเพ่อื แจ้งข่าวคราวกับชาวประมงในบริเวณนั้นอยู่ ตลอดเวลา แต่เขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสทองในการเก็บ บนั ทกึ ภาพสตั วน์ ้ำ หายากล้ำ ค่าเหล่านที้ แี่ หวกว่ายไปตาม เส้นทางทุกหนแห่งใน 3 มหาสมุทร
เพรียกหาพลังแห่งมวลมนุษยชาติ
ผ้กู ำกับเคอจินหยวนได้เก็บบันทึกภาพน่านนำ้ บริเวณ รอบๆ เกาะนอกรอบของเกาะไต้หวันมาช้านาน โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ได้ยอมอดทนนอนใต้ท้องเรือเพื่อเดินทาง ไปยังเกาะไท่ผิง (太平島) ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับ นานถึง 7 วัน และจะมีเที่ยวเรือจากไต้หวันไปส่งสิ่งของ และเสบียงอาหารเพียงเดือนละเที่ยวเท่านั้น เพื่อนสนิท ของเขารู้ดีว่า ผู้กำกับมักจะมีอาการเมาเรือเป็นประจำ และเวลาเดินทางโดยเรือสินค้าที่ต้องต้านคลื่นลมแรง โคลงเคลงไปมาในทะเล เขาก็ต้องอาศัยยาแก้เมา แต่ผู้ กำกับก็ได้เดินเรือไปยังเกาะไท่ผิงถึง 3 เที่ยว โดยเก็บได้ แต่เพียงภาพเต่าตนุขึ้นฝั่งมาวางไข่เท่านั้น หากปนี เขาแลว้ รสู้ กึ เหนอื่ ยกย็ งั พกั ข้างทางเพอื่ เอาแรง ได้ แต่การแบกถังออกซิเจนดำดิ่งลงใต้ทะเลแล้ว จะไม่มี ที่ให้พักเอาแรง ความสุขและความทุกข์ของการถ่ายทำ ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับมหาสมุทร จึงรู้สึกได้ทันทีเมื่อ กระโจนลงไปในทะเล ผู้กำกับเคอจินหยวนมีความรู้สึก ว่า มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีวันที่จะเก็บภาพ ได้หมดหรือเก็บภาพได้เพียงพอ ทำให้เขานำเอาสารคดี เรื่อง “ทะเล” ออกเผยแพร่โดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ ซึ่ง ตอนนี้ได้ตัดต่อทำเป็นสารคดีที่มีดนตรีประกอบแล้ว 46 ตอน โพสต์ไว้บนอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ผู้คนจำนวนมาก ยิ่งขึ้นได้มีโอกาสเห็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ของทะเลด้วย สายตาของตนเอง ก่อนที่สารคดีเรื่องนี้จะปิดฉากลง ภาพได้หยุดลงตรง ภาพของคุณกัวต้าวเหริน (郭道仁) ในฐานะนักเพาะ พันธุ์ปลาหมึกชื่อดัง กำลังประคบประหงมลูกอ่อนของ ปลาหมึกตะเภา ส่วนผู้กำกับเคอจินหยวนก็กำลังเดินทอด น่องบริเวณริมชายฝั่งที่เต็มไปด้วยก้อนซีเมนต์ลดแรง คลื่นทะเลที่ไร้ชีวิตชีวา เหมือนกับจะเตือนสติพวกเราว่า มลภาวะทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนผืนพิภพนี้ ในที่สุดท้องทะเล ก็จะเป็นผู้แบกรับภาระนี้ไว้ทั้งหมด มหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ จะเต็มไปด้วยความหวังหรือความพินาศกันแน่ ยังมีเรื่อง ราวต่างๆ มากมายที่จะเล่าให้ฟังกัน